ASTV ผู้จัดการรายวัน - ป้องกันแชมป์ “ไทยไฟต์” เอาไว้ได้ตามคาด พร้อมถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเงินรางวัล 2 ล้านบาท สำหรับ บัวขาว ป.ประมุข หลังยืนสาดแข้งแลกหมัดครบ 3 ยก เอาชนะคะแนน วิตาลี เฮอร์คัว คู่ต่อกรจากเบลารุส เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2555 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า อย่างไรก็ตาม 2013 อาจเป็นปีสุดท้ายที่จะได้เห็นนักมวยเงินล้านเจ้าของฉายา “ดำดอทคอม” ขึ้นวาดลวดลายบนสังเวียน เนื่องจากอายุอานามที่ปาเข้าไป 30 ปี เริ่มแสดงความอ่อนล้าให้เห็นจากการชกครั้งล่าสุด ทำให้ฝ่ายจัดการแข่งขันเตรียมทุ่ม 200 ล้านบาท ปรับกลยุทธ์เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ
เฮอร์คัว คู่ชิงแชมป์รุ่นจูเนียร์ มิดเดิลเวต 70 กิโลกรัม มีช่วงชกและหน่วยก้านที่ยาวกว่า แต่ว่า บัวขาว ก็อาศัยชั้นเชิงเอาชนะไปได้ แม้จะไม่สะใจพระเดชพระคุณก็เพราะร่างกายที่เริ่มไม่เอื้ออำนวย ไม่สามารถเดินบดหนักปล่อยอาวุธได้เหมือนเดิม แต่ก็คว้าแชมป์ “ไทยไฟต์” 2 ปีติดต่อกันได้สำเร็จ ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า นพพร วาทิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สปอร์ต อาร์ต จำกัด ในฐานะผู้จัดการแข่งขันประสบความสำเร็จล้นเหลือ ทว่า ปี 2013 เปรยว่าอาจจะเป็นปีสุดท้ายของนักมวยจากจังหวัดสุรินทร์แล้วก็เป็นได้
นายนพพร เผยว่า “สำหรับ บัวขาว เรายังเปิดโอกาสให้ชกต่อ แต่ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายว่ายังไหวหรือไม่ ซึ่งถ้าไม่ฟิตพอ เราก็จำเป็นที่จะต้องให้พัก เพราะถ้าไม่สมบูรณ์ก็จะไม่ให้ชกเด็ดขาดอายุก็ 30 ปีแล้ว และนักมวยรุ่นใหม่ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ดูได้จากนัดชิงที่ผ่านมา แต่ที่ผมหวังไว้ คือ อยากจะให้เขาได้ปิดฉากในการเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ในปีหน้า เพื่อเป็นการสั่งลา แต่ทั้งนี้ ก็เป็นเรื่องของอนาคต จากนี้ต้องพักอย่างต่ำ 2 เดือน ส่วนสัญญายังเหลืออีกหลายปี เพราะเพิ่งต่อเพิ่มไป โดยได้มีโปรเจกต์ใหม่ให้สอนแสดงท่ามวยจำนวน 328 ท่า ผ่านทางช่อง 3 ทุกช่วงเย็นวันเสาร์-อาทิตย์”
นอกจากปี 2013 ที่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของ บัวขาว กับ “ไทยไฟต์” ทางด้านฝ่ายจัดได้เตรียมเพิ่มการแข่งแบบคาดเชือกชิงเงินรางวัล 15 ล้านบาท พร้อมรถและคอนโดเพื่อเรียกเรตติ้งให้กับแฟนมวย โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 200 ล้านบาท และถ่ายทอดสดแบบเรียลิตีไปทั่วโลก
“เสี่ยมด” นายนพพร กล่าวถึงไอเดียใหม่ ว่า “ในปีหน้านอกจากไทยไฟต์รอบปกติแล้ว เราจะจัดแบบพิเศษขึ้นมาเป็นคาดเชือก โดยจะมีผู้เข้าแข่งขัน 32 คน แบบแพ้คัดออก นำโดยคนไทย 2 คน คือ สุดสาคร ส.กลิ่นมี ส่วนอีกคนกำลังคัดเลือกอยู่ และต่างชาติ 30 คน มาแข่งเป็นรอบใช้เวลา 2-3 เดือน ชิงเงินรางวัล 15 ล้านบาท พร้อมคอนโด รถยนต์ และมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบต์ เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าอาชีพมวยไม่ได้ด้อยกว่ากีฬาประเภทอื่นๆ และจะถ่ายทอดแบบเรียลิตีไป 40-50 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้ชาวต่างชาติได้รับรู้ถึงวัฒนธรรมไทย”
“นอกจากนั้น ยังจะมีเดินทางไปจัดยังต่างประเทศ โดยมี เลสเตอร์ ซิตี ที่อังกฤษ เป็นหลัก ส่วนอีกประเทศจะเล็งไปที่ จีน ซึ่งในส่วนตัวผมไม่สนใจว่าจะเป็นคนไทยที่คว้าแชมป์หรือไม่ สนใจแค่ผู้ชนะเป็นมวยไทยเท่านั้น ซึ่งในอนาคตผมต้องการที่จะให้จัดเป็นลีกไปตามทวีปต่างๆ เช่น ยุโรป เอเชีย แอฟริกา ก่อนที่จะมาชิงชนะเลิศกันที่ประเทศไทย” หัวเรือใหญ่ “ไทยไฟต์” ร่ายยาว
ส่วนกรณี บัวขาว ที่อนาคตยังต้องติดตามกันต่อไป ว่า จะถูกผลักดันไปรับบทบาทไหน ล่าสุด หลังป้องแชมป์ “ไทยไฟต์” ได้เดินทางไปตรวจร่างกาย ณ สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกาย (BASEM) ชั้น 5 อาคาร D โรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 กับ นพ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ และ นพ.อี๊ด ลอประยูร
โดยแถลงว่า “บัวขาว ได้เดินทางมาตรวจร่างกายกับทางโรงพยาบาลกรุงเทพ เมื่อช่วงดึกหลังการชกเสร็จสิ้น โดยมีอาการช้ำที่เบ้าตาซ้าย โหนกแก้ม หัวเข่า และหน้าแข้ง ทางทีมแพทย์จึงทำการประคบด้วยความเย็นในเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งเข้าตรวจเช็ก และเอกซเรย์เฉพาะส่วน ผลปรากฏว่า ในด้าน สมอง ตา และการได้ยิน นั้นไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ส่วนขาและเข่านั้นไม่พบการแตกหัก มีเพียงแค่ฟกช้ำเท่านั้น ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ก็จะหายเป็นปกติ จากนี้แพทย์ก็จะให้เข้าเครื่องไฮเปอร์แบริค (เครื่องอัดออกซิเจน) เพื่อฟื้นฟูสภาพเซลจากภายใน”
ด้าน บัวขาว ได้ทิ้งท้ายถึงอนาคต ว่า “ยังอยากที่จะชกต่อ แต่ก็ต้องแล้วแต่ฝ่ายจัดการแข่งขัน ในตอนนี้ยังไม่มีแผนใดๆ ทั้งสิ้น ขอพักเพื่อฟื้นฟูร่างกายก่อน ส่วนที่ดูเหมือนหมดแรงในช่วงท้ายยกนั้นเป็นปกติของการชกอยู่แล้ว เพราะคู่ต่อสู้นั้นแข็งแกร่ง จากนี้ช่วงที่ว่างอยู่จะกลับไปจัดมวยที่บ้านเกิดจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นรายการมวยเล็กๆ เปิดโอกาสให้เด็กได้ขึ้นเวที แต่เรื่องที่จะให้เป็นโปรโมเตอร์จัดรายการใหญ่ๆ หลังแขวนนวมนั้นคงเป็นเรื่องที่ยาก เพราะต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง รวมถึงเรื่องการแสดงด้วยที่ต้องแล้วแต่โอกาสและฝ่ายจัดอีกที”