จุดโทษหลอน “สิงโต” ปิ๋วยูโร มุ่ง "เวิลด์ คัพ"

เอเยนซี-ทีมชาติอังกฤษยังไม่ใกล้เคียงกับการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ เมื่อต้องจอดป้ายศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ยูโร 2012 เพียงแค่รอบควอเตอร์ไฟนัล หลังแพ้ดวลจุดโทษ อิตาลี 2-4 โดย 120 นาทีเสมอกัน 0-0 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2555 ที่สำคัญยังโดนฝันร้ายตามหลอกหลอนต่อไปเพราะเป็นการปราชัยขั้นฎีกา 6 จาก 7 ครั้ง ทำให้ "เดอะ ซัน" แท็บลอยด์หัวดังประจำเมืองผู้ดี ถือโอกาสรีวิวผลงานทั้งทัวร์นาเมนต์รวมถึงมองถึงอนาคตที่อยู่เบื้องหน้ากับฟุตบอลโลกอีก 2 ปีที่บราซิล

รอย ฮ็อดจ์สัน คนที่ใช่?
เข้ามานั่งเก้าอี้นายใหญ่ "สิงโตคำราม" แบบพลิกความคาดหมายก่อนศึก ยูโร เปิดฉากแค่เดือนเดียว อย่างไรก็ตามไม่อาจพาทีมตื่นจากฝันร้ายหลังตกรอบฟุตบอลโลกปี 1990, 1998, 2006 และ ยูโร 1996 กับ 2004 ด้วยจุดโทษทั้งหมด หนนี้ก็ยังเข้าอีหรอบเดิมแม้ว่าจะมีการซ้อมมาแล้วก็ตาม ทว่าดูจากการจัดทัพ 2 หน้าคู่และเปลี่ยน แอนดี คาร์โรลล์ ลงมาก็แสดงให้เห็นว่าไม่อยากยืดเยื้อ เมื่อบทสรุปออกมาในรูปแบบนี้จึงถือว่าสอบตก อย่างไรก็ตามสมาคมฟุตบอลเมืองผู้ดีพร้อมให้โอกาสต่อไปและน่าจะมีการปิดห้องคุยกันแล้วมิเช่นนั้นอดีตกุนซือ ลิเวอร์พูล และ เวสต์ บรอมวิช อัลเบียน คงไม่กล้าประกาศว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือฟุตบอลโลกปี 2014 ต่างหาก

บทเรียนจาก ยูโร 2012
ด้วยตำแหน่งแชมป์โลกปี 1966 และเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ยูโร 1996 อังกฤษ ยังไม่ใกล้เคียงกับการคว้าเกียรติยศใดๆ เลยนับเวลาล่วงเลยมาได้ 46 ปีแล้ว ฮ็อดจ์สัน ใช้ศักยภาพเท่าที่มีอยู่ในมือพิจารณาดูแล้วยังห่างชั้นจากหลายชาติเกมที่เจอกับ อิตาลี เห็นได้ชัดว่าใช้โอกาสค่อนข้างเปลือง กลับกันถ้าเจอกับ เยอรมนี หรือว่า สเปน มีหวัง "สิงโต" โดนถอดเขี้ยวภายใน 90 นาทีด้วยสกอร์ไม่ต่ำกว่า 0-2 หรือ 0-3 ทว่าทำผลงานได้ขนาดนี้ถือว่ายกระดับขึ้นพอสมควร อีกสิ่งที่เห็นได้ชัดเลยว่าไม่มีพวก "โกลเดน เจเนเรชัน" จากนี้จึงต้องรีบทำอะไรสักอย่างแล้วเพราะมีเวลาอีก 2 ปีก่อนจะถึงทัวร์นาเมนต์ถัดไปที่บราซิล

แง่ดีที่ยังมีให้เห็น
กับแชมป์กลุ่ม ดี ที่มี ฝรั่งเศส รวมอยู่ด้วยถือว่าน่าพอใจ ถ้านับเฉพาะผลงานรอบแบ่งกลุ่ม ฮ็อดจ์สัน พาลูกทีมสอบผ่านมี 7 แต้มชนะ 2 เสมอ 1 นัดยิงได้ 5 เสีย 3 ประตู เกมที่สร้างความประทับใจและแสดงถึงหัวจิตหัวใจคือที่พลิกชนะ สวีเดน 3-2 สาวก "ทรีไลออนส์" ไม่ได้เห็นบุคลิกแบบนี้นานแล้ว อีกทั้งเกมสุดท้ายที่มีข้อแม้ต้องชนะเจ้าภาพร่วมอย่าง ยูเครน จนสุดท้ายทำได้ 1-0 ก็ต้องถือเป็นอีกหนึ่งด่านสำคัญที่ไม่ง่ายเหมือนกัน นอกจากนี้ตำแหน่งแนวรับถือว่าเบาใจได้เพราะมีแนวโน้มที่ดีภายใต้แกนหลักที่น่าจะเป็นอนาคตต่อไปอย่าง โจ ฮาร์ท ผู้รักษาประตู โจลีออน เลสค็อตต์ กองหลัง แมนเชสเตอร์ ซิตี และ แกรี เคฮิลล์ จาก เชลซี ที่ไม่ได้ติดทัพมาด้วยเพราะบาดเจ็บ

ผู้เล่นที่น่าจะถูกหั่น
เจมส์ มิลเนอร์ กองกลางจากค่าย แมนเชสเตอร์ ซิตี แชมป์ พรีเมียร์ชิป เป็นหนึ่งในคนที่ถูกวิจารณ์พอสมควร แต่ ฮ็อดจ์สัน ก็ให้เหตุผลว่าประทับใจการทำงานอย่างหนักในการไล่บอลช่วยเกมรับ ยังมีอีกหลายคนคืน สจ๊วร์ต ดาวนิง ปีกซ้ายจาก ลิเวอร์พูล แม้ว่า แอชลีย์ ยัง ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเล่นได้น่าผิดหวังแต่ก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีกว่า รวมถึง เจอร์เมน เดโฟ ดาวยิง ท็อตแนม ฮ็อทสเปอร์ ทางด้าน จอห์น เทอร์รี กองหลัง เชลซี แม้ว่าจะมีประสบการณ์แต่ทัวร์นาเมนต์นี้เชื่องช้าไปเยอะด้วยวัย 31 ปีแล้วยังต้องพิสูจน์ว่ายังมีประโยชน์กับทีมอยู่

แกนหลักสู่อนาคตที่บราซิล
กัปตันทีม สตีเวน เจอร์ราร์ด จากค่าย ลิเวอร์พูล แม้อายุแตะหลัก 32 ปีแต่การแอสซิสต์ 3 ประตูรอบแบ่งกลุ่มอีกทั้งยังไม่เห็นตัวตายตัวแทนก็น่าจะนำทัพลุยฟุตบอลโลกที่ บราซิล พร้อมๆ กับ เวย์น รูนีย์ ดาวยิง แมนฯยูไนเต็ด ที่จะต้องยืนครบ 90 นาทีในทุกๆ เกมหากไม่มีปัญหาอะไร ตามด้วย ธีโอ วัลค็อตต์ และ อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน 2 ตัวริมเส้นจากชายคา อาร์เซนอล ที่ถือเป็นอาวุธลับลงมาเปลี่ยนเกมได้ เช่นเดียวกับ 2 กองหน้า แอนดี คาร์โรลล์ กองหน้า ลิเวอร์พูล และ แดนนี เวลเบ็ค หอก แมนฯยู พิสูจน์จากประตูที่ยิงเอาชนะ สวีเดน