ASTVผู้จัดการรายวัน - ศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (ยูโร) 2012 ดำเนินมาถึงรอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้ายกันแล้ว ซึ่งทีมข่าว MGR Sport ขอประมวลเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปช่วงครึ่งทางแรก ไม่ว่าจะเป็นการเช็กฟอร์มตัวเต็งอย่าง “แชมป์เก่า” สเปน หรือ เยอรมนี รวมถึงความบ้อท่าของ “อัศวินสีส้ม” เนเธอร์แลนด์ หรือว่า เทพนิยายกรีก ภาค 2 จะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่ ดังบรรทัดต่อจากนี้
ฤๅจะมีรีแมตช์รอบชิง
สเปน เริ่มต้นภารกิจป้องกันแชมป์ ก็เจอคำถามเรื่องความมั่นใจ เมื่อแทกติกที่ บิเซนเต เดล บอสเก ดันเอา เชส ฟาเบรกาส ไปยืนในแนวรุก ดร็อปกองหน้าธรรมชาติอย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส บ่งบอกให้เห็นถึงความไม่มั่นใจในพลังการสังหาร ทั้งที่ยังมี อัลบาโร เนเกรโด หรือ เฟร์นานโด ยอเรนเต ที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองสักนาทีเดียว อย่างไรก็ตาม การคว้าอันดับ 1 กลุ่มซี เส้นทางเปิดโล่งให้ “กระทิงดุ” ลุ้นเข้าไปรีแมตช์รอบชิงปีก่อนกับ เยอรมนี โดย “อินทรีเหล็ก” เป็นชาติเดียวจากทั้ง 16 ทีมที่คว้าชัยได้ทั้ง 3 แมตช์รอบแรก ด้วยทรงเกมที่เล่นกันแน่นอน กอปรกับแนวรุกเต็มอัตราศึก มาริโอ โกเมซ จังหวะปิดสกอร์เฉียบขาด ลูกทีมของ โยอาคิม เลิฟ ถือเป็นขวากหนามสกัดกั้นไม่ให้ สเปน ลุ้นเป็นชาติแรกในประวัติศาสตร์ที่ซิวแชมป์รายการเมเจอร์ได้ 3 ทัวร์นาเมนต์ติดต่อกัน อย่างไรก็ดี คงประมาททีมที่ทำผลงานได้ดีขึ้นเป็นลำดับอย่าง โปรตุเกส, อิตาลี หรือ ฝรั่งเศส ไม่ได้เสียทีเดียว
วันดับ “อัศวินสีส้ม”
เนเธอร์แลนด์ หนึ่งในทีมเต็งลุ้น “อองรี เดอโลเนย์” ตกรอบแรกชนิดไม่มีแต้มติดมือกลับบ้าน ความพ่ายแพ้เปิดหัว “กรุ๊ป ออฟ เดธ” ต่อเดนมาร์ก ชี้ให้เห็นถึงการตัดสินใจอันผิดพลาดของ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวจ์ก ที่ไว้วางใจ เยโทร วิลเลมส์ นักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ยูโรรอบสุดท้าย เล่นแบ็กซ้ายตัวจริงด้วยวัยเพียง 18 ปี 71 วัน โดยไม่เรียก เออร์บี เอ็มมานูเอลสัน เป็นแบ็กอัพ ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงกึ๋นกุนซือวัย 60 ปี ที่หดหายไปในส่วนแทกติกที่ไม่สามารถปรับจากระบบ 4-2-3-1 มาเล่นในแบบหน้าคู่ได้เนียนตา ทั้งที่ โรบิน ฟาน เพอร์ซี และ คลาส-แยน ฮุนเตลาร์ มีดีกรีเป็นถึงดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก อังกฤษ และบุนเดสลีกา เยอรมนี ตามลำดับ แนวรุกเลือกดร็อป ราฟาเอล ฟาน เดอ ฟาร์ท หรือ อิบราฮิม อเฟลลาย แทนที่จะเป็น อาร์เยน ร็อบเบน ซึ่งเล่นแบบข้ามาคนเดียว ส่วนแนวรับ จอนนี ไฮติงกา, รอน ฟลาร์ และ โยริส มาไธจ์เซน สลับยืนเซ็นเตอร์ไม่ซ้ำกันในแต่ละนัด แสดงให้เห็นถึงความไม่ลงตัวอย่างแท้จริง
เทพนิยายกรีก (ภาค 2)
แค่นัดเปิดสนาม กรีซ ก็สร้างความฮือฮาด้วยการเล่น 10 คนไล่ตีเสมอ โปแลนด์ เจ้าภาพร่วม เกือบพลิกคว้าชัยในบั้นปลายด้วยซ้ำ แต่ที่ทำให้หลายคนย้อนคิดไปถึง “เทพนิยายกรีก” เมื่อ 8 ปีก่อน คือ การที่ลูกทีมของ เฟอร์นานโด ซานโตส ใช้โอกาสอันน้อยนิด อาศัยการฉวยโอกาสของ จอร์จอส คารากูนิส หนึ่งในฮีโรเมื่อปี 2004 ยิงประตูชัยส่งทีมฉลุยพร้อมเขี่ย “หมีขาว” รัสเซีย ตกรอบชนิดหักปากกาเซียน ซึ่งรอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยชื่อชั้นและศักยภาพที่เป็นรองด้านตัวผู้เล่น หากว่า กรีซ ยังฝ่าด่าน เยอรมนี รองแชมป์เก่าไปได้ มีโอกาสเช่นกันที่พล็อตเรื่องเทพนิยายภาค 2 จะถูกสร้างให้เป็นจริง
“กระสุนยาง” ดับซ่าฮูลิแกน
มหกรรมลูกหนังที่มีการรวมตัวของผู้คนจากหลายชาติ หลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างแฟนบอล แต่ถือว่าเจ้าภาพร่วมเอาอยู่ ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างฉับพลัน โดยก่อนเกม โปแลนด์ พบกับ รัสเซีย นัดที่ 2 กลุ่มเอ สาวก “หมีขาว” ยกพลข้ามแม่น้ำวิสตูลา ฝ่าด่านกองเชียร์เจ้าถิ่นไปยังสนามกีฬาแห่งชาติ ด้วยวาทะที่ยั่วยุกันไปมาระหว่างทาง เลยเถิดเป็นเหตุการณ์ตะลุมบอนจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บไปหลายราย อย่างไรก็ตาม ตำรวจปราบจราจลโปลเข้าควบคุมสถานการณ์ทันท่วงทีได้ด้วยแก๊สน้ำตา และกระสุนยาง พร้อมรวบฮูลิแกนราว 100 ราย เข้าไปนอนดูบอลในซังเตของกรุงวอร์ซอ
ไม่แคล้วต้องมี “เหยียดผิว”
สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟา) มีการรณรงค์ให้ยูโร 2012 ไร้ซึ่งการเหยียดผิว แต่ที่สุดแล้วไม่แคล้วเกิดขึ้นจนได้ เมื่อ ธีโอดอร์ เกเบร เซลาสซี แบ็กขวาเชื้อสายเอธิโอเปียของสาธารณรัฐเช็ก เจอแฟนๆ รัสเซีย ตะโกนทำนองเหยียดเชื้อชาติ ขณะที่ มาริโอ บาโลเตลลี ยังอดกลั้นอารมณ์ไหวไม่ฆ่าใครดั่งที่เคยประกาศก่อนทัวร์นาเมนต์เริ่มขึ้น ถึงแม้โดนกองเชียร์สเปนตะโกนเสียงลิงใส่ แถมในเกมที่ “อัซซูรี” อิตาลี เจอกับโครเอเชีย ปรากฏว่า กองหน้าเชื้อสายกานา เจอแฟนบอลตัวดีขว้างกล้วยลงมาในสนาม เห็นที มิเชล พลาตินี บิ๊กบอสยูฟาต้องเร่งดำเนินการเชือดไก่ให้ลิงดูบ้างแล้ว กับบทลงโทษที่จะมีไปยังสหพันธ์ลูกหนังชาตินั้นๆ ที่ไม่สามารถดูแลให้ทั่วถึงได้