“ฟลอยด์” ท็อปนักกีฬารายได้สูงสุด

ฟลอยด์ เมย์เวเธอร์ จูเนียร์ กำปั้นไร้พ่ายชาวมะกัน ได้รับการจัดอันดับจาก “ฟอร์บส์” นิตยสารธุรกิจชั้นนำให้เป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุดในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา โดยโค่นบัลลังก์ของ “พญาเสือ” ไทเกอร์ วูดส์ นักกอล์ฟเพื่อนร่วมชาติ ที่ครองตำแหน่งติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2001

โดยรอบ 1 ปีที่ผ่านมา นักชกเจ้าของฉายา “พริตตี้ บอย” แม้ขึ้นชกเพียงแค่ 2 ไฟต์ โดยชนะน็อก วิคเตอร์ ออร์ติซ เมื่อเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว และชนะคะแนน มิเกล ค็อตโต เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่รับทรัพย์เข้ากระเป๋า 85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,550 พันล้านบาท) มากสุดจากบรรดานักกีฬาในโลก

ด้าน วูดส์ เสียตำแหน่งเป็นครั้งแรกนับแต่ปี 2001 โดยนักกอล์ฟเจ้าของแชมป์เมเจอร์ 14 รายการ หล่นลงมาอยู่ที่ 3 ของการจัดอันดับเป็นรอง แมนนี ปาเกียว ยอดนักชกอีกคนชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งมีรายได้ 62 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,860 ล้านบาท) ส่วน ไทเกอร์ มีรายได้ 59.4 ล้านบาท (ประมาณ 1,782 ล้านบาท)

สาเหตุที่ทำให้ เมย์เวทเธอร์ ซึ่งมีอีกฉายาคือ “มันนี” เป็นนักกีฬาที่มีรายได้สูงสุด ฟอร์บส์ ระบุว่าเนื่องจาก เมย์เวทเธอร์ มีบริษัทโปรโมเตอร์ของตัวเองทำให้โกยเงินทั้งหมดจากค่าตั๋วเข้าชม ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดทางโทรทัศน์ สปอนเซอร์ และอะไรอื่นๆ อีกจิปาถะ โดยแต่ละไฟต์ได้รับเงินเกินกว่า 50 เปอร์เซนต์ ขณะที่ ปาเกียว มีโปรโมเตอร์คือ “ท็อปแรงค์”

นิตยสารธุรกิจชื่อดังระบุอีกว่า รายได้ของ ฟลอยด์ ไม่มีมาจากการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าเลย ขณะที่ ปาเกียว มีรายได้จากส่วนนี้จำนวน 6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 180 ล้านบาท) ส่วน วูดส์ ได้เงินจากการเป็ฯพรีเซนเตอร์สินค้าถึง 55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,650 ล้านบาท)

นักกีฬาคนอื่นที่ติด 100 อันดับแรกของฟอร์บส์ ยังมี อาทิ เลอบรอน เจมส์ รั้งอันดับ 4 สูงสุดจากบรรดานักบาสเกตบอล โดยซูเปอร์สตาร์ไมอามี ฮีต มีรายได้ 53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,590 ล้านบาท) แม้ว่าเงินค่าเหนื่อยน้อยลงเนื่องจาก เอ็นบีเอ ล็อกเอาต์ แต่ได้รับเงินจากค่าโฆษณา 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1,200 ล้านบาท) จากสินค้าอย่าง ไนกี้, โคคา-โคลา, สเตตฟาร์ม และ แมคโดนัลด์

ขณะที่นักกีฬาหญิงมีติดอันดับ 2 คนล้วนแต่เป็นนักเทนนิส คือ มาเรีย ชาราโปวา สาวสวยชาวรัสเซีย เจ้าของแชมป์เฟรนช์ โอเพนคนล่าสุด อยู่อันดับที่ 26 มีรายได้ 27.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 837 ล้านบาท) และ หลี่ นา สาวหมวย รั้งที่ 81 มีรายได้ 18.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 552 ล้านบาท)