คอลัมน์ “สุดฟากสนาม” โดย “ธีรพัฒน์ อัครเศรณี”
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ แบรนดอน ร็อดเจอร์ส มาจากสวอนซี เรียกเสียงแซวเจี๊ยวจ๊าวจากแฟนทีมอื่น ว่า กำลังถอยหลังลงคลอง ไปเอากุนซือจากสโมสรเล็กๆ มาคุม
คงต้องยอมรับก่อนว่า ในนาทีนี้ สถานการณ์อันดับแบบนี้ จะให้ “หงส์แดง” ไปเกี้ยวพาราสีผู้จัดการทีมระดับเกรดเอ อย่าง เป๊ป กวาดิโอลา, โชเซ มูรินโญ หรือแม้กระทั่ง ฟาบิโอ คาเปลโล คงเป็นไปได้ยาก การได้ ร็อดเจอร์ส มา ถ้ามองโลกในแง่ดี ผมว่าอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่า โรแบร์โต มาร์ติเนซ จากวีแกนแหล่ะน่า ทั้งสไตล์การทำทีม ประวัติส่วนตัว แถมโหงวเฮ้งก็ยังดูมีสง่าราศีกว่า มาร์ติเนซ ที่หน้าตาดูเศร้าๆ อาภัพๆ อย่างไรชอบกล
แม้อายุอานามจะเพียง 39 แต่เส้นทางของ ร็อดเจอร์ส เคยผ่านการทำงานกับคนอย่าง โชเซ มูรินโญ อังเดร บียาส โบอาส และ แฟรงค์ อาร์เนเซน มาแล้ว สมัยที่เขาอยู่กับเชลซี รับหน้าที่โค้ชทีมเยาวชนและต่อมาคุมทีมสำรองด้วยการให้โอกาสของ “เฮียเครียด” เรียกว่ามี “กลิ่น” ยุโรปอยู่บ้าง
ทิศทางการเล่นของโค้ชหนุ่มผู้นี้ เน้นเกมรุกแน่ๆ เรียกได้ว่า “เดอะ ค็อป” อุ่นใจที่จะได้เห็นทีมเล่นเกมบุกด้วยลีลาเร้าใจ (แพ้ชนะนั่นอีกเรื่องนะ..อิอิ) เน้นการผ่านบอลอันรวดเร็ว ผู้เล่นต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จนสวอนซี ที่ ร็อดเจอร์ส เคยคุมนั้น ถูกนักข่าวอังกฤษชมว่า เป็น “สวอนเซโลนา” บ้าง เป็น “โททัลฟุตบอล” เหมือนฮอลแลนด์ในอดีตบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่อย่าลืมว่า นั่นคือ การคุมทีมอย่าง “หงส์ขาว” ซึ่งมีโจทย์เพียงหนีตกชั้นให้ได้เท่านั้น การยกระดับขึ้นมานำทัพ “หงส์แดง” นั้น มันคนละเรื่องกันทั้งเป้าหมายและแรงกดดัน
ระบบการเล่นที่ ร็อดเจอร์ส ชอบใช้นั้นก็ คือ 4-2-3-1 จะว่าไปแล้วก็จะคล้ายๆหมากของ ราฟา เบนิเตซ ล่ะครับ หากสไตล์ของกุนซือวัย 39 ปีผู้นี้ จะเน้นเกมรุกและความเร็วจากผู้เล่นปีกมากเป็นพิเศษทั้ง สกอตต์ ซินแคลร์ และ นาธาน ดายเออร์ สมัยอยู่ในถิ่นลิเบอร์ตี สเตเดียม
อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้เล่นริมเส้นในถิ่นแอนฟิลด์อย่าง สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง เครก เบลามี หรืออาจจะรวมถึงดาวรุ่ง ราฮีม สเตอร์ลิง ด้วย แต่ที่รู้ๆ ใครไม่ฟิต อืดอาด คิดช้าทำช้าและเคลื่อนไหวไม่ได้ตลอดเวลา มีสิทธิเดือดร้อน กระเด็นออกจากทีมของ ร็อดเจอร์ส แน่นอน
มองแล้วหวยน่าจะไปออกกับพวก เดิร์ก เคาท์ (ไปแล้ว), มักซี โรดดิเกซ, ชาร์ลี อดัมส์, จอนโจ เชลวีย์ และที่คนสงสัยมากที่สุด นั่นก็คือ อนาคตของ แอนดี คาร์โรลล์ นั่นเอง ว่า กองหน้าร่างยักษ์รายนี้จะเข้ากับแผนการทำทีมของเจ้านายใหม่ผู้นี้หรือไม่ ถ้าจะเก็บ “บิ๊กแอนดี” ไว้ หลุยส์ ซัวเรซ อาจจำเป็นต้องถูกโยกไปเล่นริมเส้นก็ได้
มาถึงขนาดนี้แล้วต้องทำใจลองฝีมือกันดูสักตั้งครับ หลังจากทนใช้ผู้จัดการทีมอาวุโสมาแล้ว 2 รายติดต่อกัน นั่นคือ รอย ฮอดจ์สัน และ เคนนี่ ดัลกลิช ลิเวอร์พูล ยังไปไม่ถึงไหน เที่ยวนี้ลองเสี่ยงกับกุนซือหนุ่มตามสเป็คของเจ้าของทีมกลุ่มเฟนเวย์ดูบ้าง
ถือเป็นก้าวที่กล้า เป็นการซื้ออนาคต แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น เชิญคาดเดากันได้ตามใจชอบครับ
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูลได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ แบรนดอน ร็อดเจอร์ส มาจากสวอนซี เรียกเสียงแซวเจี๊ยวจ๊าวจากแฟนทีมอื่น ว่า กำลังถอยหลังลงคลอง ไปเอากุนซือจากสโมสรเล็กๆ มาคุม
คงต้องยอมรับก่อนว่า ในนาทีนี้ สถานการณ์อันดับแบบนี้ จะให้ “หงส์แดง” ไปเกี้ยวพาราสีผู้จัดการทีมระดับเกรดเอ อย่าง เป๊ป กวาดิโอลา, โชเซ มูรินโญ หรือแม้กระทั่ง ฟาบิโอ คาเปลโล คงเป็นไปได้ยาก การได้ ร็อดเจอร์ส มา ถ้ามองโลกในแง่ดี ผมว่าอย่างน้อยๆ ก็ดีกว่า โรแบร์โต มาร์ติเนซ จากวีแกนแหล่ะน่า ทั้งสไตล์การทำทีม ประวัติส่วนตัว แถมโหงวเฮ้งก็ยังดูมีสง่าราศีกว่า มาร์ติเนซ ที่หน้าตาดูเศร้าๆ อาภัพๆ อย่างไรชอบกล
แม้อายุอานามจะเพียง 39 แต่เส้นทางของ ร็อดเจอร์ส เคยผ่านการทำงานกับคนอย่าง โชเซ มูรินโญ อังเดร บียาส โบอาส และ แฟรงค์ อาร์เนเซน มาแล้ว สมัยที่เขาอยู่กับเชลซี รับหน้าที่โค้ชทีมเยาวชนและต่อมาคุมทีมสำรองด้วยการให้โอกาสของ “เฮียเครียด” เรียกว่ามี “กลิ่น” ยุโรปอยู่บ้าง
ทิศทางการเล่นของโค้ชหนุ่มผู้นี้ เน้นเกมรุกแน่ๆ เรียกได้ว่า “เดอะ ค็อป” อุ่นใจที่จะได้เห็นทีมเล่นเกมบุกด้วยลีลาเร้าใจ (แพ้ชนะนั่นอีกเรื่องนะ..อิอิ) เน้นการผ่านบอลอันรวดเร็ว ผู้เล่นต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จนสวอนซี ที่ ร็อดเจอร์ส เคยคุมนั้น ถูกนักข่าวอังกฤษชมว่า เป็น “สวอนเซโลนา” บ้าง เป็น “โททัลฟุตบอล” เหมือนฮอลแลนด์ในอดีตบ้าง ก็ว่ากันไป
แต่อย่าลืมว่า นั่นคือ การคุมทีมอย่าง “หงส์ขาว” ซึ่งมีโจทย์เพียงหนีตกชั้นให้ได้เท่านั้น การยกระดับขึ้นมานำทัพ “หงส์แดง” นั้น มันคนละเรื่องกันทั้งเป้าหมายและแรงกดดัน
ระบบการเล่นที่ ร็อดเจอร์ส ชอบใช้นั้นก็ คือ 4-2-3-1 จะว่าไปแล้วก็จะคล้ายๆหมากของ ราฟา เบนิเตซ ล่ะครับ หากสไตล์ของกุนซือวัย 39 ปีผู้นี้ จะเน้นเกมรุกและความเร็วจากผู้เล่นปีกมากเป็นพิเศษทั้ง สกอตต์ ซินแคลร์ และ นาธาน ดายเออร์ สมัยอยู่ในถิ่นลิเบอร์ตี สเตเดียม
อาจจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้เล่นริมเส้นในถิ่นแอนฟิลด์อย่าง สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง เครก เบลามี หรืออาจจะรวมถึงดาวรุ่ง ราฮีม สเตอร์ลิง ด้วย แต่ที่รู้ๆ ใครไม่ฟิต อืดอาด คิดช้าทำช้าและเคลื่อนไหวไม่ได้ตลอดเวลา มีสิทธิเดือดร้อน กระเด็นออกจากทีมของ ร็อดเจอร์ส แน่นอน
มองแล้วหวยน่าจะไปออกกับพวก เดิร์ก เคาท์ (ไปแล้ว), มักซี โรดดิเกซ, ชาร์ลี อดัมส์, จอนโจ เชลวีย์ และที่คนสงสัยมากที่สุด นั่นก็คือ อนาคตของ แอนดี คาร์โรลล์ นั่นเอง ว่า กองหน้าร่างยักษ์รายนี้จะเข้ากับแผนการทำทีมของเจ้านายใหม่ผู้นี้หรือไม่ ถ้าจะเก็บ “บิ๊กแอนดี” ไว้ หลุยส์ ซัวเรซ อาจจำเป็นต้องถูกโยกไปเล่นริมเส้นก็ได้
มาถึงขนาดนี้แล้วต้องทำใจลองฝีมือกันดูสักตั้งครับ หลังจากทนใช้ผู้จัดการทีมอาวุโสมาแล้ว 2 รายติดต่อกัน นั่นคือ รอย ฮอดจ์สัน และ เคนนี่ ดัลกลิช ลิเวอร์พูล ยังไปไม่ถึงไหน เที่ยวนี้ลองเสี่ยงกับกุนซือหนุ่มตามสเป็คของเจ้าของทีมกลุ่มเฟนเวย์ดูบ้าง
ถือเป็นก้าวที่กล้า เป็นการซื้ออนาคต แต่ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น เชิญคาดเดากันได้ตามใจชอบครับ
