ลีกคัพปลุก "ยักษ์หลับ" หงส์ลุ้นท็อปโฟร์-เอฟเอ

เอเยนซี-ลิเวอร์พูล ตื่นจากการหลับใหลผงาดคว้าถ้วย คาร์ลิง คัพ โดยถือเป็นแชมป์แรกรอบ 6 ปี แม้ทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องลุ้นบีบหัวใจก่อนชนะจุดโทษ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี 3-2 หลัง 120 นาทีเสมอกัน 2-2 ที่สนาม เวมบลีย์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งฤดูกาลนี้สำหรับ "หงส์แดง" เหมือนเพิ่งเริ่มต้นยังเหลือลุ้นแชมป์ เอฟเอ คัพ และอาจรวมถึงโควตา ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก

เกมนี้ดรามายิ่งกว่าบทละครเมื่อ คาร์ดิฟฟ์ นำไปก่อนจาก โจ เมสัน นาที 19 ก่อนถูกตีเสมอจาก มาร์ติน สเคอร์เทล นาที 60 จากนั้นต้องสู้กันถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ ลิเวอร์พูล พลิกนำจาก เดิร์ก เคาท์ ตัวสำรองนาที 108 แต่ทีมจากเวลส์อันดับ 6 ศึก เดอะแชมเปียนชิป สู้สุดใจตีเจ๊า 2-2 จาก เบน เทอร์เนอร์ นาที 118 ต้องฎีกาด้วยการดวลเป้า สตีเวน เจอร์ราร์ด และ ชาร์ลี อดัม พลาด แต่ที่เหลือ 3 คนเข้าหมดทั้ง เดิร์ก เคาท์ สจ๊วร์ด ดาวนิง และ เกล็น จอห์นสัน ส่วน "บลูเบิร์ด" กลับยิงชนเสาและหลุดกรอบไปเองถึง 3 คน ส่งให้ "หงส์แดง" ก้าวขึ้นบันได 107 ขั้นที่ เวมบลีย์ คว้าแชมป์แรกนับตั้งแต่ถ้วย เอฟเอ คัพ เมื่อปี 2006 สร้างความชื่นมื่นให้ จอห์น ดับเบิลยูเฮนรี เจ้าของทีมที่ได้แชมป์ตั้งแต่ปีแรก เช่นเดียวกับ เคนนี ดัลกลิช ที่ประเดิมการกลับมาคุมทัพอย่างสวยหรู

หลังเกม ดัลกลิช นายใหญ่ที่พา ลิเวอร์พูล ครองเจ้า ลีก คัพ ด้วยการคว้าแชมป์สูงสุดเป็นสมัยที่ 8 ออกมาซูฮก คาร์ดิฟฟ์ ว่าคือผู้แพ้ที่ชนะใจทุกคนอย่างแท้จริง "ต้องขับเคี่ยวกันนานพอสมควรกว่าเราจะคว่ำ คาร์ดิฟฟ์ ลงได้ แต่ตอนนี้ชื่อของ ลิเวอร์พูล ไปอยู่บนโทรฟีย์แล้ว เกมนี้พวกเขาสร้างความลำบากให้แก่เรามากเหลือเกิน ด้วยความใจสู้และไม่ยอมแพ้ต้องชื่นชมในความทุ่มเท แม้ชัยชนะอาจได้มาแบบไม่สวยงามนัก แต่เราก็ยินดีที่จะรับไว้"

ฟาก มัลคี แม็คเคย์ กุนซือ คาร์ดิฟฟ์ ที่ผลงานดีเหลือเชื่อทั้งที่เข้ามาคุมทัพได้เพียงแค่ 12 เดือนออกมาชื่นชมหัวใจหัวใจของลูกทีมทุกคน "ในค่ำคืนนี้เราทุกคนพ่ายแพ้อย่างมีเกียรติ ทีมอัดแน่นไปด้วยนักเตะอายุน้อยและมีอารมณ์ร่วมกับเกมสูงดังนั้นอาจจะส่งผลถึงช่วงยิงจุดโทษ แต่ผมก็ภูมิใจกับผลงานของลูกทีมทุกคน"

นักเตะที่ถือเป็นไฮไลท์ของเกมนี้และจะไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือ เจอร์ราร์ด ที่พลาดจุดโทษยิงไปถูก ทอม ฮีตัน เซฟได้ แต่ฝันของกองกลางกัปตันทีม ลิเวอร์พูล ก็กลายเป็นจริงกับการพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ที่ เวมบลีย์ ได้เป็นครั้งแรกเพราะทีมเข้าชิง ณ สนามแห่งนี้ครั้งสุดท้ายต้องย้อนไปในถ้วย เอฟเอ คัพ ปี 1996 อกหักแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นอกจากนี้หนึ่งในกองหลัง คาร์ดิฟฟ์ คือ แอนโธนีย์ เจอร์ราร์ด เป็นลูกพี่ลูกน้องกับกัปตันทีมชาติอังกฤษและเป็นคนยิงจุดโทษลูกสุดท้ายถากเสาออกไป

"ผมปลื้มมากที่คว้าแชมป์มาให้กับแฟนบอลของเราทุกคนที่วิเศษมากและพวกเขาควรจะภาคภูมิใจกับทีม แต่ก็รู้สึกเห็นใจ แอนโธนีย์ และ คาร์ดิฟฟ์ เนื่องจากเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ทว่าการยิงจุดโทษก็ถือเป็นช่วงที่บีบหัวใจ จึงเป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายต้องดีใจและอีกฝ่ายต้องผิดหวัง ผมได้ปลอบใจ แอนโธนีย์ เพราะตนเองก็เคยพลาดทำเข้าประตูตัวเองนัดชิง คาร์ลิง คัพ เมื่อปี 2005 ที่แพ้ เชลซี 2-3 ถือเป็นแค่เกมๆ หนึ่งและหลังจากนี้เราก็เป็นครอบครัวกันเหมือนเดิม" เจอร์ราร์ด เผย

หากย้อนไปเมื่อปีที่แล้วบรรดาเกจิมองว่าการที่ฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นถ้วยยุโรปทั้ง แชมเปียนส์ ลีก และ ยูโรปา ลีก ถือเป็นผลดี เพราะกำลังอยู่ระหว่างสร้างทีมขึ้นมาใหม่และค่อยไปหวังคว้าแชมป์บอลถ้วยสักรายการภายในประเทศ ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแนวทางนั้นคือได้ถ้วย คาร์ลิง คัพ มาครอบครองแล้ว ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีกับการค่อยก้าวไปทีละก้าวดีกว่าจะกระโดดพรวดไปหวังคว้าแชมป์ลีกสูงสุดและต้องผิดหวัง

จากนี้ ลิเวอร์พูล มีลุ้นคว้าดับเบิลแชมป์บอลถ้วยเพราะยังอยู่บนเส้นทางรอบ 8 ทีมสุดท้าย เอฟเอ คัพ พบ สโต๊ก ซิตี เล่นที่ แอนฟิลด์ วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคมนี้ดูแล้วก็ไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง จับพลัดจับผลูอาจมีลุ้นอันดับ 4 เพราะเวลานี้ตาม อาร์เซนอล 7 แต้มแถมแข่งน้อยกว่า 1 นัดที่สำคัญทั้งคู่มีโปรแกรม พรีเมียร์ชิป เจอกันวันเสาร์ที่ 3 มี.ค.นี้ที่บ้าน "หงส์แดง" ด้วย ต้องบอกเลยว่าเป็นฤดูกาลที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ของสาวก "เดอะ ค็อป" สำหรับช่วงที่เหลืออยู่ของปีนี้