ASTV ผู้จัดการรายวัน - กระแสข่าวเรื่อง “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ถูกจุดขึ้นมาตั้งแต่ บุรีรัมย์ พีอีเอ ยังไม่การันตีตำแหน่งแชมป์ฟุตบอลสปอนเซอร์ ไทยพรีเมียร์ลีก 2011 ก่อนจะมีความคืบหน้าออกมาเรื่อยๆ จนเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดของเมืองไทยตกอยู่ในจังหวัดดังแห่งแดนอีสานใต้ในขณะที่ฤดูกาลยังไม่สิ้นสุด และทีมน้องอย่าง บุรีรัมย์ เอฟซี จองบัลลังก์แชมป์ดิวิชัน 1 พร้อมทั้งตีตั๋วเลื่อนชั้นในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ซึ่ง เนวิน ชิดชอบ ที่เข้ามาบริหารสโมสรได้ 2 ปีจึงอาศัยจังหวะนี้ในการรวมร่างทั้ง 2 ทีมเข้าด้วยกันก่อนนั่งแท่นเป็นเจ้าของสโมสรแบบเต็มตัวสำหรับการไล่ล่าความสำเร็จต่อไปในปี 2012
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการเปิดตัวชุดแข่งขันของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ออกมาล่วงหน้าพร้อมทั้งวางจำหน่ายให้แฟนบอลได้จับจองเป็นเจ้าของในราคาตัวละ 390 บาท ถือเป็นสัญญาณปิดตำนานของ บุรีรัมย์ พีอีเอ ที่เถลิงแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีกสมัยแรกและสมัยเดียวของสโมสรก่อนแยกตัวออกมาจากพันธมิตรอย่าง “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” ตามกระแสข่าว เพื่อไปสร้างทีมจังหวัดบุรีรัมย์ที่แท้จริง ซึ่ง “เสี่ยเน” ได้จัดการทุกอย่างลงตัวแล้ว
โดย เนวิน เปิดเผยว่า “ขณะนี้ได้ทำข้อตกลงกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เกี่ยวกับการเทกโอเวอร์ทีมเอาไว้แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาผมทำทีมโดยถือหุ้นของ บุรีรัมย์ พีอีเอ 70 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่จะส่งลงแข่งขันในไทยพรีเมียร์ลีก 2012 จึงถือเป็นเจ้าของแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2011 ส่วนโควตาลงเล่นในไทยพรีเมียร์ลีกของ บุรีรัมย์ เอฟซี จะตกเป็นของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งจะส่งทีมเข้าร่วมแข่งขันเองหรือไปรวมกับจังหวัดใดก็อยู่ที่การตัดสินใจของพวกเขา แต่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จะมีการเปิดตัวในไม่ช้านี้ ซึ่งนัดชิงชนะเลิศของรายการโตโยต้า ลีก คัพ 2011 กับ การท่าเรือไทย ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ เราจะใช้ชื่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อย่างแน่นอน”
หากทุกอย่างลงตัวดังที่กล่าวมา สิทธิ์ในการลุย เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก 2012 ก็จะตกอยู่กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด โดยคนโตแห่งเมืองปราสาทกล่าวถึงแผนการทำทีมที่มีอยู่ในใจว่า “เราจะรวมเอานักเตะที่ดีที่สุดของ พีอีเอ และ เอฟซี อย่างน้อย 30 คนเข้าด้วยกัน จากนั้นก็จะเสริมทีมด้วยนักเตะไทยและนักเตะต่างชาติเกรดเอ เข้ามาอีก เพื่อให้เป็น บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่แข็งแกร่งกว่า พีอีเอ และ เอฟซี ส่วนเรื่องโควตาผู้เล่นต่างชาติในเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ที่ส่งชื่อได้ 5 คน ลงสนามได้ 3 คนบวกกับชาวเอเชียอีก 1 คนนั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะผมจะเว้นที่ไว้ให้นักเตะเอเชีย 2 คน โดยกำลังติดต่อหาผู้เล่นญี่ปุ่นฝีเท้าดี ดีกรีอดีตทีมชาติ 2 คนเข้ามาสู่ทีม เมื่อรวมกับผู้เล่นแอฟริกันหรือยุโรปอีก 3 คนก็ครบโควตาพอดี ส่วนตัวต่างชาติที่เหลือ 3-4 คนก็จะใช้ในรายการในประเทศ”
ทั้งนี้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถูกจับสลากให้ไปอยู่ในกลุ่มเอช ของศึกฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรเอเชียรายการใหญ่ร่วมกับ ชอนบุค ฮุนได มอเตอร์ส แชมป์เค-ลีก เกาหลีใต้ รองแชมป์ถ้วยใบนี้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว, คาชิวะ เรย์โซล แชมป์เจ-ลีก ญี่ปุ่น และ กว่างโจว เอเวอร์แกรนด์ แชมป์ไชนีส ซูเปอร์ลีก จากจีน แต่ เนวิน ยังคงทำใจดีสู้เสือด้วยการกล่าวถึงเป้าหมายว่า “จากผลการจับสลากที่ออกมา ผมยอมรับว่าเราเจอสายที่หนักมาก แต่ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อผ่านเข้ารอบ 16 ทีมไปให้ได้ หรืออย่างน้อยต้องไม่เป็นอันดับสุดท้ายของกลุ่มเอช”
อย่างไรก็ดี “เสี่ยเน” ยืนยันว่าการถือกำเนิดของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด มีเป้าหมายอยู่ที่การเป็นยอดทีมลูกหนังโดยเริ่มจากในประเทศไทยก่อนไต่เต้าขึ้นสู่ะระดับทวีปเอเชีย “เรายังต้องสะสางภารกิจที่เหลืออยู่ในฤดูกาล 2011 ด้วยการมุ่งมั่นคว้าแชมป์เอฟเอคัพ และโตโยต้า ลีก คัพ เพื่อสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเปิลแชมป์ จากนั้น ฤดูกาล 2012 ก็จะต้องป้องกันแชมป์ให้ได้โดยเฉพาะไทยพรีเมียร์ลีก เพื่อรักษาโอกาสไปเล่นในเอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ก่อนสร้างทีมขึ้นไปให้ทัดเทียมกับสโมสรชั้นนำของเอเชีย แม้ว่าต้องใช้เวลาอีกสักระยะแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
กระนั้น ประเด็นที่ยังเป็นคำถามคือการโอนสิทธิ์ของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีชื่อเป็นสโมสรสมาชิกของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ให้กับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่ โดยเรื่องนี้ ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัท ไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด กล่าวว่า “สิ่งแรกที่จำเป็นสำหรับการลงแข่งขันไทยพรีเมียร์ลีก คือ สโมสรจะต้องจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วยื่นเอกสารหลักฐานตามระเบียบของ ไทยพรีเมียร์ลีก มาให้ก่อนลงนามในข้อตกลงอนุญาตให้เข้าร่วมการแข่งขัน (Club Licensing Agreement) ซึ่งเรื่องนี้ผมคิดว่าไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับ บุรีรัมย์ ส่วนเรื่องการโอนสิทธิ์นั้น ผมยังบอกไม่ได้เนื่องจากยังไม่มีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น ซึ่งหากทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้ก็คงไม่มีปัญหา”
