เซปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟา) ทำตัวเองให้เป็นเป้าถูกวิพากษ์วิจารณ์อีก เมื่อล่าสุดแสดงความเห็นว่าการเหยียดผิวกันระหว่างผู้เล่นบนสนามไม่ควรเอามาประเด็น เมื่อฝ่ายกระทำจับมือขอโทษขอโพยกับผู้ถูกกระทำแล้วหลังจบเกม
ขณะที่ตอนนี้วงการลูกหนังเมืองผู้ดีกำลังรับมือกับประเด็นปัญหาเรื่องการเหยียดผิว ทั้งกรณีที่ จอห์น เทอร์รี กองหลังกัปตันทีมชาติอังกฤษจาก เชลซี เหยียดผิว แอนตัน เฟอร์ดินานด์ แนวรับ ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ หรือกรณี หลุยส์ ซัวเรซ กองหน้า ลิเวอร์พูล เพิ่งถูกตั้งข้อหาจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) หลังจากใช้คำพูดเหยียดผิว ปาทริซ เอฟรา แบ็กซ้าย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
แต่ แบล็ตเตอร์ ในฐานะประมุขลูกหนังโลกกลับแสดงความเห็นว่าไม่มีการเหยียดผิวในวงการฟุตบอลและไม่จำเป็นต้องสอบสวนข้อกล่าวหาของ เอฟรา หรือ เฟอร์ดินานด์ โดยประธานวัย 75 ปีกล่าวกับสำนักข่าว "ซีซีเอ็น" ว่า "มันไม่มีการเหยียดผิว แต่บางทีมันเป็นคำพูดหรือการแสดงท่าทางซึ่งไม่เหมาะสม คนที่ได้รับผลจากคำพูดหรือการกระทำเหล่านี้ควรคิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของเกมและจับมือกัน"
ความเห็นของ แบล็ตเตอร์ ก็ถูกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา อาทิ ริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นพี่ชายของ แอนตัน ทวีตข้อความว่า "บอกผมหน่อยซิว่าผมเพียงแค่อ่านความเห็นของ เซปป์ แบล็ตเตอร์ เกี่ยวกับเรื่องเหยียดสีผิวในวงการฟุตบอลผิดไป ถ้าหากไม่เป็นเช่นกัน มันทำให้ผมก็ประหลาดใจมาก"
ต่อมา แบล็ตเตอร์ ได้ออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงสิ่งที่ตัวเองพูดว่า "ความเห็นของผมถูกเข้าใจผิด สิ่งที่ผมต้องการบอกก็คือ เมื่อคุณเป็นนักฟุตบอลแล้วในระหว่างเกม คุณต้องต่อสู้กับคู่แข่งของคุณ ด้วยการทำบางสิ่งบางอย่างซึ่งไม่ถูกต้อง แต่มันเป็นเรื่องปกติที่พอเวลาจบเกมแล้ว คุณก็ขอโทษคู่ต่อสู้ของคุณถ้าหากเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างเกม คุณจับมือกับเขาเมื่อจบเกม และปัญหาทุกอย่างก็จบ ผมย้ำอีกครั้งว่าที่ผมพูดแบบนั้นไม่ใช่ต้องการลดมิติของปัญหาเรื่องการเหยียดผิวในสังคมหรือวงการกีฬา ผมยังจะต่อสู้ในเรื่องนี้และขจัดมันออกไป"
