ASTVผู้จัดการรายวัน – แรกเริ่มในการนำนักเตะต่างชาติเข้ามาช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลลีกในไทย มีเหตุผลคือต้องการเสริมความเป็นมืออาชีพให้ซึมซับเข้าในระบบ ถึงวันนี้ บรรดาแข้งต่างแดนยังคงมีบทบาททั้งในศึกไทยพรีเมียร์ลีก, ดิวิชั่น 1 หรือ ลีกภูมิภาค (ดิวิชั่น 2) แต่เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัทไทยพรีเมียร์ลีก จำกัด ร่วมมือกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ผุดไอเดียปรับลดโควตาต่างชาติจาก 7 ลง 5 คน มาเป็นสูตร 5 คน ลง 3+1 นักเตะเอเชีย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของสมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย (เอเอฟซี)
โดย องอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เผยว่า "สิ่งที่จะทำให้นักเตะไทยเป็นมืออาชีพโดยแท้จริงแล้วต้องอาศัยผู้เล่นต่างชาติที่มีความเป็นมืออาชีพจริงๆ สามารถลงสนามได้ตลอด 90 นาที นั่นคือการนำร่องกำหนดเงื่อนไข 7 ลง 5 ทว่าปัจจุบันนักเตะไทยสามารถซึมซับความขยัน ตั้งใจฝึกซ้อมมาจากนักเตะต่างชาติ ดังนั้นในอนาคตมีแนวโน้มที่เราจะพิจารณาลดโควตาแข้งต่างชาติให้เหลือเพียง 5 ลง 3 + 1 นักเตะเอเชีย ในลีกทุกระดับอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อให้โอกาสเด็กไทยได้แสดงศักยภาพและยึดตำแหน่งผู้เล่น 11 คนแรกในนามสโมสร"
นอกจากนี้ "บิ๊กเปี๊ยก" ยังพูดถึงแนวทางการพัฒนาฟุตบอลลีกของไทยให้ยั่งยืนอย่างแท้จริง "เราจำเป็นต้องมีการคัดเลือกสโมสรในลีกภูมิภาคจากทั้งหมด 77 ทีม ตัดให้เหลือเพียง 18-24 ทีม เพื่อให้เหมาะสมต่อการเลื่อนชั้นขึ้นสู่ ดิวิชั่น 1 และไทยพรีเมียร์ลีก โดยสโมสรเหล่านี้ต้องมีคุณสมบัติเป็นทีมที่แข็งแกร่งสามารถยืนหยัดได้เอง มีสนามที่สมบูรณ์ ระบบการจัดการการบริหารดีเยี่ยม ส่วนสโมสรที่ตกรอบกว่า 50 ทีม คงต้องไปเล่นในลีกสมัครเล่นโดยมีรูปแบบการเล่นที่เหมือนกัน โดยเรายอมรับว่าลีกภูมิภาคเกิดกระแสนิยมมากขึ้น จึงขอเวลาในทางปฎิบัติเพื่อความยุติธรรม"
ขณะเดียวกัน ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีกฯ เผยถึงข้อดีในการลดโควตานักเตะต่างชาติ "เป็นเรื่องดีเพราะถือเป็นการพัฒนานักเตะไทย ปัจจุบันยอมรับว่าภาพรวมนักเตะไทยมีการพัฒนามากขึ้น แต่มีจุดด้อยที่ไม่สามารถมองข้ามได้คือ การขาดศูนย์หน้าและเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ คนไทยที่มีความสามารถเพราะส่วนใหญ่สโมสรในไทยพรีเมียร์ลีกจะนิยมนำเข้าเป็นแข้งผิวสี ดังนั้นเพื่อสร้างความสมดุลจึงต้องมีการปรับเปลี่ยน ในทางกลับกันนักเตะไทยก็ยังต้องอาศัยนักเตะต่างชาติคอยช่วยเพิ่มทักษะและประสบการณ์"
ในส่วน รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้จัดการทั่วไปสโมสร เมืองทองฯ ยูไนเต็ด แสดงทรรศนะถึงการลดโควตานักเตะต่างชาติด้วยว่า "ถือเป็นผลดีเพราะปัจจุบันนี้สโมสรฯ ไม่ได้ใช้โควตานักเตะต่างชาติเต็มอัตรา และถือเป็นแนวทางที่ดีสอดคล้องกับเอเอฟซี ซึ่งการใช้โควตา 7 ลง 5 เพียงเพื่อมีตัวเลือกมากขึ้นเท่านั้น ทว่าทุกวันนี้ฟุตบอลไทยมีการพัฒนามากขึ้นและเริ่มผลักดันนักเตะเยาวชนขึ้นมาทดแทนชุดใหญ่ จึงถือเป็นการลดการนำเข้าแข้งต่างชาติได้ดี อย่างไรก็ตาม ลีกฟุตบอลของไทยยังต้องอาศัยแข้งต่างชาติเพื่อสร้างสีสัน และสร้างความเชื่อมั่นในเวทีระดับเอเชีย ทั้งนี้หากมีการเปลี่ยนแปลงควรมีการแจ้งล่วงหน้าให้ทราบอย่างน้อย 1 ฤดูกาล เพื่อให้แต่ละสโมสรได้มีการเตรียมพร้อมในเรื่องของสัญญา"
ทางฝ่าย บุรีรัมย์ พีอีเอ จ่าฝูงไทยพรีเมียร์ลีก ภายใต้การคุมของ อรรถพล บุษปาคม กุนซือของทีม กล่าวเช่นกันว่า "ไม่ถือเป็นผลกระทบต่อทีมหากเป็นกฏกติกาสากล ทว่าการใช้โควตานักเตะต่างชาติ 7 ลง 5 เป็นการเพิ่มฝึกฝนทักษะการเล่นกับสโมสรต่างชาติ แต่ในทางกลับกันย่อมปิดกั้นโอกาสแข้งไทยอยู่บ้าง สังเกตได้จากทีมชาติไทยที่เล่นกับทีมออสเตรเลียในศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกที่ไม่สามารถทนการบุกและรุกกลับได้ การมีแข้งต่างชาติในลีกไทยมากเกินไป เหมือนเป็นหยุดพัฒนาการของนักเตะไทยซึ่งส่งผลต่อทีมชาติแน่นอน"
ด้าน อรรณพ สิงห์โตทอง ผู้จัดการทั่วไป ชลบุรี เอฟซี เผยถึงส่วนได้ ส่วนเสียว่า "ถือเป็นเรื่องดีที่จะมีการลดโควตานักเตะต่างชาติเป็น 5 ลง 3 + 1 นักเตะเอเชีย เพราะเป็นการสร้างโอกาสให้กับนักเตะไทยและจะเป็นผลดีต่อทีมชาติมากขึ้น แต่ทุกวันนี้นักเตะไทยที่จะสามารถลงเล่นตำแหน่งศูนย์หน้าและเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวจริงแทบจะไม่ปรากฏเพราะคนไทยไม่มีศักยภาพพอที่จะสู้กับนักเตะต่างชาติได้ แม้กระทั่งทีมจากดิวิชั่น 1 หรือ ดิวิชั่น 2 ก็จะได้รับผลกระทบนี้ด้วย"
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้นยังไม่สามารถนำมาปฎิบัติได้ทันทีภายในฤดูกาลหน้า โดย "บิ๊กเปี๊ยก" แย้มทิ้งท้ายว่าอาจเกิดขึ้นในปี 2013 ก็เป็นได้ "ทางสมาคมฯ จะมีการพิจารณาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนซึ่งยังไม่สามารถระบุได้ว่าผลตอบรับจะออกมาเป็นอย่างไร ทั้งนี้หากได้ข้อสรุปแล้วจะรีบประกาศให้ทุกสโมสรทราบโดยเร็ว เพราะการลดโควตานักเตะต่างชาติถือเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อบรรดาสโมสรที่มีความหวังในการเลื่อนชั้นตกชั้น ที่สำคัญมีผลต่อทีมที่ลุ้นแชมป์อย่างแน่นอน ส่วนการลดสัดส่วนทีมในลีกภูมิภาคยืนยันว่านี่เป็นแนวทางการพัฒนาวงการฟุตบอลไทยอย่างแท้จริง"