คอลัมน์ "ON TRACK" โดย เด็กปั๊ม
ก่อนอื่น "เด็กปั๊ม" ต้องขอใช้พื้นที่ย่อหน้าแรกกราบขออภัยท่านผู้อ่านทั้งในเว็บไซต์และหนังสื่อพิมพ์ กับเนื่อหาที่คลาดเคลื่อนอย่างไม่น่าให้อภัยจากเรื่องราวของ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ในฉบับที่แล้ว โดยแท้จริงแล้วเรื่องราวการถอดเทปจากวิทยุสื่อสารที่ผมเขียนถึงนั้นเป็นเพียงการล้อเลียนนักขับจากทีมเมอร์เซเดส จีพี เท่านั้น ซึ่งไม่ได้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด ผมเองยอมรับในความผิดพลาดทั้งหมดและขอยืนยันว่าจะนำเสนอข้อมูลในวงการความเร็วที่ถูกต้องครบถ้วนต่อไป
กลับเข้ามาที่หัวข้อที่ผมตั้งเอาไว้ในสัปดาห์นี้กับเรื่องราวของศึกเจแปนิส กรังด์ปรีซ์ ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใดครับ เพราะใน 2 สัปดาห์นับจากนี้ ศึกดวลความเร็ว 2 รายการใหญ่ของโลกอย่างฟอร์มูลา วัน และมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชมป์โลก มีคิวแข่งขันกันบนดินแดนอาทิตย์อุทัย โดยในสุดสัปดาห์นี้จะเป็นศึกโมโตจีพี ที่สนามโมเตกิ และอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดไปก็จะเป็นเอฟวันที่สนามซูซูกะ
เริ่มจากการแข่งขันรถ 2 ล้อที่สนามทวินริงโมเตกิ นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของบรรดานักบิดในเวิลด์ จีพี เพราะก่อนหน้านี้ หัวโจกประจำวงการทั้งวาเลนติโน รอสซี ,ฮอร์เก ลอเรนโซ และเคซีย์ สโตเนอร์ ต่างยืนยันบอยคอตการแข่งขันรายการดังกล่าว เนื่องจากหวั่นอันตรายจากสารกัมมันตภาพรังสีที่ยังอาจจะตกค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากแทร็กโมเตกิ อยู่ห่างจากโรงไฟฟ้าฟูกูชิมะที่ระเบิดในช่วงสึนามิในเดือน มี.ค.ไม่ถึง 100 กิโลเมตร
ทว่าล่าสุดเป็นที่แน่นอนแล้วครับว่าบรรรดานักบิดดังในโมโตจีพี จะไปพร้อมหน้าพร้อมตาบนกริดสตาร์ทวันที่ 2 ต.ค.นี้แน่นอน โดยทีมแข่งดังของอิตาลีอย่างดูคาติ ถึงขนาดลงทุนส่งทีมงานและผู้เชี่ยวชาญด้านรังสีมาสำรวจที่โมเตกิเป็นการล่วงหน้า หาข้อมูลว่าสถานการณ์ที่นั่นปลอดภัยจริงหรือไม่ รวมถึงเพื่อโน้มน้าวใจให้ "เดอะด็อกเตอร์" เปลี่ยนใจเข้าแข่งขันรายการเจแปนิส จีพีให้ได้
ส่วนในรุ่นโมโตทู นักบิดหนึ่งเดียวของไทยอย่าง รัฐภาคย์ วิไลโรจน์ ที่แม้จะมีผลงานน่าผิดหวังในปีนี้ แต่เจ้าตัวก็ยืนยันพร้อมบิดแน่นอน ขณะเดียวกันก็ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดครับว่าเอพีฮอนด้า ต้นสังกัดทางเมืองไทยจะตัดสินใจอย่างไรกับอนาคตกับทีม สต็อป แอนด์ โก (แซก) ในปีหน้าซึ่งจะมีการเจรจากถึงอนาคตของฟีมหลังจบเรซในวันอาทิตย์นี้ ในขณะที่กระแสข่าวทีมต้นสังกัดจากสเปนเตรียมดึง "แสตมป์" อภิวัฒน์ วงศ์ธนานนท์ ไปบิดแทน ก็มีเข้ามาหนาหูเหลือเกิน
ในส่วนของสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นล่าสุดผมเองมีโอกาสได้พูดคุยกับ ดร.อนวัช สรรพศรี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโทโฮกุ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง "ดร.ต้อง" บอกว่าคนที่นั่นเริ่มใช้ชีวิตกันเกือบปกติแล้ว อีกอย่างสนามโมเตกิก็อยู่ห่างจากฟูกูชิมะราย 100 กม.เช่นเดียวกับเซนได ซึ่งในเวลานี้ทุกอย่างไม่จะเป็นปัญหาสำหรับนักบิด พร้อมกันนี้เจ้าของฉายา "ต้อง สึนามิ" ยังบอกด้วยว่าเขาเคยไปทำอาหารไทยแจกคนที่อยู่ภายใน 30 กม.จากโรงไฟฟ้า ซึ่งผู้คนย่านนั้นก็ใช้ชีวิตกันตามปกติแล้ว
นอกจากนี้อีกหนึ่งเรซที่ญี่ปุ่นจะเป็นศึกเอฟวันที่สนามซูซูกะในวันที่ 9 ต.ค.แม้ว่าที่นั่นจะอยู่ห่างจากฟูกูชิมะถึง 400 กิโลเมตร แต่ก็มีไฮท์ไลท์สำคัญอยู่ที่งานฉลองแชมป์โลกให้กับเซบาสเตียน เวทเทล นักขับจากทีมเรดบูลล์ เรซซิง ที่น่าจะเก็บอย่างน้อยอีก 1 แต้มคว้าแชมป์โลกแบบเบ็ดเสร็จได้เสียที