ASTVผู้จัดการรายวัน - หลังจาก ฟิล มิคเคลสัน คว้าแชมป์เดอะ มาสเตอร์ส เมื่อปี 2010 ผู้ชนะในรายการเมเจอร์อีก 6 ครั้งถัดมาล้วนแต่มิใช่นักกอล์ฟชาวอเมริกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่ก้านเหล็กเมืองมะกันห่างหายจากการชนะเมเจอร์นับแต่ปี 1934 ขณะที่สัปดาห์นี้เป็นคิวของ "พีจีเอ แชมเปียนชิป" เมเจอร์สุดท้ายของปีที่สนามแอตแลนตา แอธเลติก คลับ ระยะ 7,467 หลา พาร์ 70 ในเมืองจอห์น ครีก รัฐจอร์เจีย ระหว่างวันที่ 11 -14 สิงหาคม 2554 ความหวังของบรรดานักกอล์ฟเจ้าถิ่นที่จะหยุดสถิติไร้แชมป์เมเจอร์ก็ยังดูริบหรี่เมื่อต้องขับเคี่ยวกับผู้เล่นที่กำลังเข้าฟอร์มหลายต่อหลายคนจากทวีปอื่น
ย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาลที่แล้ว มาร์ติน คายเมอร์ โปรชาวเยอรมัน กลายเป็นผู้ครอบครองโทรฟี "วันนาเมกเกอร์" (Wannamaker) หลังดวลเพลย์ออฟเอาชนะ บับบา วัตสัน จอมตีไกลชาวอเมริกันบนสนามวิสท์ลิง สเตรท และ คายเมอร์ ก็ได้เป็น 1 ใน 6 เมเจอร์แชมเปียนหลังสุดที่ไม่ใช่ชาวอเมริกันซึ่งรวมถึง แกรม แม็คดาวล์ (ไอร์แลนด์เหนือ, ยูเอส โอเพน 2010) หลุยส์ อุสต์ไฮเซน (แอฟริกาใต้, ดิ โอเพน 2010) ชาร์ล ชวาร์ทเซล (แอฟริกาใต้, เดอะ มาสเตอร์ส 2011) รอรีย์ แม็คอิลรอย (ไอร์แลนด์เหนือ, ยูเอส โอเพน 2011) และ ดาร์เรน คลาร์ก (ไอร์แลนด์เหนือ, ดิ โอเพน 2011)
นอกจากผลการแข่งขันดังกล่าวแล้ว ถ้าพิจารณาจากปัจจัยอื่น อาทิ อันดับนักกอล์ฟในตารางเวิลด์ กอล์ฟ แรงกิ้ง ก็พบว่ามีก้านเหล็กชาวอเมริกันเพียง 6 คนอยู่ใน 15 อันดับแรกของโลก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชนะพีจีเอ แชเมเปียนชิป ประจำปี 2011 จะเป็นผู้เล่นจากทวีปยุโรปหรือไม่ก็ออสเตรเลียโดยเวบไซต์ของพีจีเอ ทัวร์ (pgatour.com) ในคอลัมน์เอ็กซ์เพิร์ท พิกส์ (Expert Picks) มีกูรู สามจากสิบคนในคอลัมน์ดังกล่าวยกให้ รอรีย์ แม็คอิลรอย มีโอกาสมากที่สุดที่จะเป็นผู้ชนะพีจีเอ แชมเปียนชิป นอกจากความสำเร็จของโปรวัย 22 ปีในการคว้าแชมป์เมเจอร์ยูเอส โอเพน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว เจ้าตัวยังทำผลงานดีในการแข่งขันแบบสโตรกเพลย์ทั้ง 2 รายการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคว้าที่ 5 ร่วมจากรายการเดอะ เมโมเรียล และเพิ่งจบที่ 6 ร่วมจากรายการบริดจ์สโตน อินวิเตชั่นแนล เมื่ออาทิตย์ที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา อีกทั้งเกมการเล่นที่ตีไกลและเหนียวแน่นในการพัตต์น่าจะรับมือได้กับความยากของสนามแอตแลนตา แอธเลติก คลับ ที่มีความยาวถึง 7,467 หลา
เจสัน เดย์ โปรวัย 23 ปีชาวออสเตรเลียก็ได้รับคะแนนจากกูรู 3 คนเท่ากับ แม็คอิลรอย แม้ว่าปีนี้ เดย์ ยังไม่สามารถคว้าแชมป์รายการใดได้ แต่กลับทำผลงานได้ดีเยี่ยมในทัวร์นาเมนท์ใหญ่ๆ โดยคว้ารองแชมป์จากเมเจอร์ 2 รายการคือ เดอะ มาสเตอร์ส และ ยูเอส โอเพน ขณะที่ในรายการเดอะ เพลเยอร์ แชมเปียนชิป ซึ่งถูกยกให้เป็นเมเจอร์ที่ 5 ของปีก็จบที่ 5 ร่วม และล่าสุดเพิ่งคว้าที่ 4 ร่วมในรายการบริดจ์สโตน อินวิเตชั่นแนล เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่นักกอล์ฟรุ่นพี่ร่วมชาติอย่าง อดัม สกอตต์ ถูกยกให้เป็นตัวเต็งลำดับถัดมา หลังจากโปรวัย 31 ปีกำลังมั่นใจจากผลงานที่คว้าแชมป์รายการบริดจ์สโตน อินวิเตชั่นแนล แถมก่อนหน้านี้เจ้าตัวยังได้รองแชมป์ร่วมกับ เดย์ ในรายการเดอะ มาสเตอร์ส เมื่อช่วงต้นปี และยังเคยชนะรายการเดอะ ทัวร์ แชมเปียนชิป ที่แอตแลนตา เมื่อปี 2006 อีกทั้งการมี สตีฟ วิลเลียมส์ อดีตแคดดี้ของ "พญาเสือ" ไทเกอร์ วูดส์ ยอดโปรชาวอเมริกันยืนถือถุงกอล์ฟให้ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ดังนั้นจึงยากจะมองข้ามโปรรูปหล่อรายนี้
แม้ช่วงเวลานี้นักกอล์ฟชาวอเมริกันถูกประเมินโอกาสที่จะคว้าแชมป์เมเจอร์สุดท้ายของปีต่ำ โดยเฉพาะเมื่อขาดหัวขบวนหลักในอดีตอย่าง "พญาเสือ" ไทเกอร์ วูดส์ ซึ่งล่าสุดอดีตมือ 1 ของโลกก็ยังฟอร์มไม่เข้าที่เข้าทางสำหรับการกลับมาเล่นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนจากรายการบริดจ์สโตน อินวิเตชั่นแนล เมื่อจบเพียงอันดับ 37 ร่วม อย่างไรก็ตาม บรรดากูรูลองให้จับตามองที่ นิก วัตนีย์ จะเป็นความหวังสำหรับแฟนกอล์ฟเจ้าถิ่น โดยโปรวัย 30 ปีนอกจากคว้าแชมป์ 2 รายการแล้วในฤดูกาลนี้จาก คาดิลแลค แชมเปียนชิป และ เอทีแอนด์ที เนชั่นแนล เจ้าตัวยังจบท้อปเทนถึง 8 จาก 16 รายการ
ด้าน ริคกี ฟาวเลอร์ ดาวรุ่งวัย 22 ปีถูกมองว่ามีโอกาสรองลงมา แม้เจ้าตัวยังไม่เคยสัมผัสแชมป์พีจีเอ ทัวร์สักรายการเดียวก็ตาม แต่เพิ่งจบรองแชมป์รายการบริดจ์สโตน อินวิเตชั่นแนล นอกจากนี้ก็ยังฉายแววเก่งให้เห็นในไรเดอร์ คัพ เมื่อปีที่แล้ว และถ้าหากสามารถเอาประสบการณ์ที่เคยจบที่ 5 ร่วมในเมเจอร์ ดิ โอเพน แชมเปียนชิป ที่สนามรอยัล เซนต์ จอร์จส์ มาใช้ก็อาจประสบความสำเร็จได้ เช่นเดียวกับ สตีฟ สตริกเกอร์ โปรมือ 5 ของโลกที่คว้าแชมป์ 2 รายการปีนี้และจบท้อป 20 มาตลอดจากการลงเล่น 10 รายการหลังสุด ดังนั้นสัปดาห์นี้โอกาสอีกครั้งสำหรับโปรวัย 43 ปีที่จะคว้าแชมป์เมเจอร์แรกในชีวิต