วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมันกำชับแข้งทีมชาติไทยว่าจากนี้ไปจะเน้นเรื่องระเบียบวินัยและการทำงานอย่างหนักก่อนลุยภารกิจสำคัญลำดับแรกในฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก กับ ปาเลสไตน์ ด้าน ศรายุทธ ชัยคำดี ดาวยิงจากค่ายบางกอกกล๊าสชี้นายใหญ่คนใหม่น่าจะมีจิตวิทยาที่ดีในการกระตุ้นนักเตะ
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2554 เวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา วินฟรีด เชเฟอร์ เฮดโค้ชคนใหม่ของทีมชาติไทยเรียกผู้เล่นชุดทำศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสองกับ ปาเลสไตน์ ทั้ง 35 คนมารายงานตัวที่ห้องรอดโพธิ์ทอง สนามศุภชลาศัย ซึ่งมี 6 รายที่มาไม่ได้ คือ สุรีย์ สุขะ, ณัฐพงษ์ สมณะ, เอกพันธ์ อินทเสน, สุทธินันท์ พุกหอม และ ภูริทัต จาริกานนท์ 5 ผู้เล่นของ ชลบุรี ที่มีอาการบาดเจ็บทั้งหมด รวมถึง สุรัตน์ สุขะ ที่อยู่กับ เมลเบิร์น วิคตอรี ในศึกเอ-ลีก ออสเตรเลีย โดย “หนุ่มปาน” จะตามมาสมทบในวันที่ 11 กรกฎาคม
จากนั้นเจ้าของฉายา “โค้ชบลูยีนส์” ก็ทักทายนักเตะทั้ง 29 คน พร้อมทั้งกล่าวว่า “จากนี้ไปผมจะเน้นเรื่องระเบียบวินัย, การตรงต่อเวลา, สมาธิ แต่ก็จะมีการผ่อนคลายบ้าง ตอนนี้ผมอาจจะจำหน้าพวกคุณได้ไม่ครบทุกคน แต่จะทำความคุ้นเคยโดยเร็วที่สุด และขอความร่วมมือทุกคนให้ทำหน้าที่เพื่อสโมสรและทีมชาติอย่างเต็มที่ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้ประสบความสำเร็จทั้งในสโมสรและทีมชาติ รวมทั้งขอให้พวกคุณภูมิใจที่ได้เป็นตัวแทนของชาติด้วย”
ต่อมากุนซือวัย 61 ปีได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า “ผมขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนว่าเราจะทำงานร่วมกัน แน่นอนว่าการเข้ามาทำงานแต่ละครั้งต้องตั้งเป้าหมายเอาไว้สูงซึ่งผมจะพยายามทำหน้าที่ตัวแทนในการพาทีมชาติไทยก้าวขึ้นไปให้ใกล้เคียงกับทีมชั้นนำของเอเชีย และอยากให้แฟนบอลเข้ามาให้กำลังใจที่สนามกันมากๆ เช่นเดียวกับในระดับสโมสร 2 สัปดาห์จากนี้ไปก่อนถึงเกมกับ ปาเลสไตน์ ผมจะแก้ไขข้อบกพร่องในทุกตำแหน่งตั้งแต่ผู้รักษาประตูจนถึงกองหน้า เพื่อพาทีมคว้าชัยชนะให้ได้”
ด้าน ศรายุทธ ชัยคำดี ดาวซัลโวร่วมศึกไทยพรีเมียร์ลีก 2011 เลกแรก ของ บางกอกกล๊าส พูดถึงการพบปะกับ เชเฟอร์ เป็นครั้งแรกว่า “เท่าที่ได้สัมผัสในวันนี้ ผมว่าเขาเป็นโค้ชที่มีความเข้มงวดสูง เน้นเรื่องรายละเอียดและความมีระเบียบวินัย แต่ที่สำคัญที่สุดคือผมเชื่อว่าเขาเป็นโค้ชที่มีจิตวิทยาดีคนหนึ่งเลยทีเดียวโดยสังเกตได้จากสิ่งที่เขาพูดกับนักเตะ” ขณะที่ ธาตรี สีหา กองหน้าอาร์มี่ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งติดธงครั้งแรกในชีวิตเผยว่า “ผมดีใจมากที่มีชื่ออยู่ในทีมชาติไทย ส่วน เชเฟอร์ ก็เป็นโค้ชที่ดีคนหนึ่ง ซึ่งการเน้นเรื่องระเบียบวินัยของเขาจะเป็นผลดีต่อทีม”
สำหรับโปรแกรมเตรียมทีมชาติไทยหลังจากนี้จะปล่อยให้นักเตะกลับไปรับใช้ต้นสังกัด เพื่อทำศึกเอฟเอ คัพ รอบสาม ในวันที่ 9-10 กรกฎาคม จากนั้นจะเรียกเก็บตัวฝึกซ้อมในวันที่ 11 กรกฎาคม ที่โรงแรมเทพนคร จังหวัดบุรีรัมย์ไปจนถึงวันแข่งขัน โดยสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ยืนยันว่าให้เลื่อนเกมโตโยต้า ลีก คัพ รอบ 16 ทีม นัดสอง ในวันที่ 13 กรกฎาคมออกไปในเดือนสิงหาคมเฉพาะคู่ของสโมสรที่มีผู้เล่นติดทีมชาติ แต่ เชียงราย ยูไนเต็ด ซึ่งมี วสันต์ นาทะสัน ดาวยิงตัวเก่งติดโผแค่รายเดียวยังยืนยันว่าจะเตะตามโปรแกรมเดิมด้วยการออกไปเยือน ขอนแก่น เช่นเดียวกับ ศรีราชา ซูซูกิ ที่มี สุจริต จันทกล ติดทีมชาติคนเดียวก็จะเปิดบ้านต้อนรับ เอฟซี ภูเก็ต
ส่วนการเตรียมความพร้อมของ "ช้างศึก" จะลงลับแข้งกับ พม่า 2 นัดที่สนามนิว ไอ-โมบาย สเตเดียม โดยในวันที่ 14 กรกฎาคมซึ่งเป็นการอุ่นเครื่องแบบจริงจังจะมีการถ่ายทอดสดทางช่อง สทท.11 เวลา 18.00 น. ส่วนในวันที่ 15 กรกฎาคมจะเป็นการลงเกมทดลองทีม โดยผู้สนใจสามารถเข้าชมได้ฟรี และอาจจะลับแข้งอีก 1 นัดกับ บุรีรัมย์ เอฟซี ในวันที่ 19 หรือ 20 กรกฎาคมก่อนตัดตัวให้เหลือ 23 คนสุดท้ายต่อไป
ซึ่งวันที่ 23 กรกฎาคมจะเป็นวันแข่งขันจริงกับ ปาเลสไตน์ ในนัดแรกที่สนามนิว ไอ-โมบาย สเตเดียม โดยช่อง สทท.11 จะถ่ายทอดสดให้ชมในเวลา 18.00 น. ส่วนบัตรเข้าชมการแข่งขันมี 2 ราคา คือ 100 บาทและ 150 บาท โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจำหน่ายบัตรเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ www.fat.or.th จากนั้นจะออกเดินทางไปยัง ปาเลสไตน์ ในวันที่ 26 กรกฎาคมก่อนลงเตะนัดที่สองในวันที่ 28 กรกฎาคมต่อไป
โดยนัดที่สองนั้น "โค้ชง้วน" สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยเปิดเผยว่าสามารถส่งเรื่องขอเปลี่ยนรายชื่อกับ สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) ได้ก่อนการแข่งขัน 7 วัน ซึ่งอาจจะมีการดึงนักเตะหน้าใหม่ที่ เชเฟอร์ ประทับใจในผลงานเข้ามาร่วมเก็บตัวด้วยอีก 4-5 ราย อาทิ สุรชาติ สารีพิมพ์ (อินทรีเพื่อนตำรวจ), อาลีฟ เปาะจิ (บุรีรัมย์ เอฟซี), อดิศักดิ์ ไกรษร (บุรีรัมย์ พีอีเอ) เป็นต้น หากโชว์ผลงานได้ดีก็จะหนีบตัวเดินทางไปยังตะวันออกกลางด้วย