สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดตัว วินฟรีด เชเฟอร์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของทีมฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการ พร้อมเซ็นสัญญา 3 ปี ด้านกุนซือเลือดด๊อยท์ซ ชี้ต้องปรับโครงสร้างระบบลูกหนังตั้งแต่เยาวชนเพื่อการต่อยอดสู่ทีมชาติ พร้อมตั้งเป้าพาทีมช้างศึกเลื่อนอันดับแรงกิ้งฟีฟา และไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ไม่เกินปี 2022
หลังทางสมาคมลูกหนังไทย ได้ประกาศแต่งตั้ง วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมัน วัย 61 ปี อดีตกุนซือของสโมสรในลีกของเยอรมนี อาทิ คาร์ลสรูห์ และ สตุ๊ตการ์ต รวมถึงทีมชาติแคเมอรูน แชมป์แอฟริกัน เนชั่นส์คัพ ปี 2002 รับหน้าที่กุนซือทีมชาติไทยคนใหม่แทนที่ของไบรอัน ร็อบสัน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา พร้อมเริ่มงานแรกไปแล้วด้วยการเดินทางไปชมเกมฟุตบอลโตโยต้า ลีกคัพ คู่ระหว่างบางกอกกล๊าส เอฟซี และ อินทรี เพื่อนตำรวจ ที่สนามลีโอ สเตเดี้ยม ย่านรังสิต คลอง 6 ในวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีการเปิดตัวจากสมาคมฟุตบอลไทยฯ อย่างเป็นทางการแต่อย่างใดนั้น
ล่าสุด เมี่อเวลา 10.30น. ของวันศุกร์ที่ 1 กรกฏาคม 2554 ณ ห้องประชุมสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัว วินฟรีด เชเฟอร์ พร้อมเซ็นสัญญารับหน้าที่เป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยคนใหม่อย่างเป็นทางการ ต่อหน้าสื่อมวลชนที่มาร่วมสังเกตุการณ์อย่างมากมาย โดยภายในงานนำโดย นายวรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ,นาย องอาจ ก่อสินค้า รักษาการเลขาธิการสมาคมฯ,ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบริษัทไทยพรีเมียร์ลีก และ “โค้ชง้วน”สุรชัย จตุภัทรพงศ์ ผู้ช่วยของเชเฟอร์ในทีมชาติไทย เข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย
ในงานแถลงข่าว เชเฟอร์กล่าวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับหน้าที่คุมทีมชาติไทย โดยก่อนหน้านี้ตนได้มีโอกาสรู้จักฟุตบอลไทยจากการดูวีดีโอ ซึ่งมีความคิดเห็นว่าทีมชาติไทยเป็นทีมที่มีศักยภาพแข็งแกร่งทีมหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน นอกจากนั้นยังได้สอบถามกับเพื่อนๆ และทางสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) ถึงทีมช้างศึก ทุกคนก็ยืนยันว่าทีมไทยเป็นทีมที่ดี รวมถึงนายกสมาคมลูกหนังอย่าง วรวีร์ มะกูร์ดี ก็เป็นคนดีและมีความสามารถบริหารทีมฟุตบอลระดับประเทศ จึงตัดสินใจไม่ยากในการรับงานครั้งนี้
สำหรับแนวทางการทำทีมชาติไทย อดีตกุนซือทีมชาติแคเมอรูนชุดแชมป์ฟุตบอลแอฟริกัน เนชันส์ คัพ ปี 2002 เผยว่าหลังจากที่ได้ศึกษาผลงานของกุนซือทีมไทยคนที่ผ่านๆมา ได้เล็งเห็นว่าฟุตบอลไทยต้องทำการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งหมด โดยเริ่มตั้งแต่รุ่นเยาวชน เพื่อความสอดคล้องต่อการพัฒนาทีมชาติ และไม่รู้สึกกดดันแต่อย่างใดหลังต้องทำหน้าที่กู้วิกฤตทีมชาติไทยกลับมาอีกครั้ง พร้อมตั้งเป้าพาทีมช้างศึกลงเล่นฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ภายในระยะเวลา 11 ปีต่อจากนี้
“ผมต้องการให้ระบบโครงสร้างฟุตบอลไทยพัฒนาไปทีละระดับ โดยเริ่มจากเยาวชนก่อน เหมือนกับระบบฟุตบอลของเยอรมนี ที่เคยสร้างนักเตะอย่างมิชาเอล บัลลัค และ บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ จากระบบเยาวชน ให้ขึ้นมาเป็นแกนหลักของทีมชาติมาแล้ว เพื่อเป็นรากฐานสำคัญ และเฟ้นหาผู้เล่นฝีเท้าดีมาติดทีมด้วย ทั้งหมดนี้จะทำให้พวกเขาได้ภาคภูมิใจเมื่อได้สวมเสื้อทีมชาติไทยลงสนาม ไม่ใช่ว่าไปซื้อเสื้อจากที่อื่นมาใส่ อีกอย่าง ผมต้องการทำงานหนักกับทีมชาติ และหวังจะเริ่มงานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากนี้ขอเวลาให้ผมได้ทำงานอย่างสุดความความสามารถ โดยมีเป้าหมายให้ทีมชาติไทย ขยับแรงกิ้งของฟีฟาขึ้นไปอยู่ด้านบนของตาราง พร้อมกระตุ้นให้นักฟุตบอลทำผลงานในฟุตบอลโลกให้ดีที่สุด และต้องเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายให้ได้ ภายในระยะเวลาถึงปี 2022 นี้”
นอกจากนั้น กุนซือป้ายแดงของทีมช้างศึก ก็กล่าวขอความร่วมมือจากบรรดาทีมสโมสรในไทยลีกทั่วประเทศ เพื่อขอข้อมูลนักเตะสัญชาติไทยทั้งหมด เนื่องจากตนมีข้อมูลนักเตะอยู่ในมือน้อยเกินไป โดยกล่าวว่า “ผมยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่ได้สัมผัสกับฟุตบอลไทยมากนัก เนื่องจากมีเวลาคลุกคลีเพียงแค่ 2 สัปดาห์ แถมมีข้อมูลของนักเตะไม่มากพอ ดังนั้นผมจึงอยากขอความร่วมมือจากโค้ชทีมในไทยลีก ช่วยส่งข้อมูลนักเตะของตัวเองที่มีรายชื่อติดทีมชาติ มาให้ผมได้พิจารณาด้วย เพื่อดูศักยภาพของนักเตะแต่ละคนว่าพวกเขามีจุดแข็ง และ จุดอ่อน ด้านใดบ้าง และจะเป็นประโยชน์สำหรับการทำทีมชาติต่อไป”
ทั้งนี้ “บังยี”วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมลูกหนังคนปัจจุบัน เผยว่าเชเฟอร์ จะเริ่มทำการฝึกซ้อมคุมทีมช้างศึก ในวันที่ 9 กรกฏาคมนี้ เพื่อเตรียมตัวสำหรับทีมชาติไทยในการลงเล่นเกมอุ่นเครื่องระหว่างวันที่ 12 กับโอมาน ,14 กับบาห์เรน และ 17 กรกฏาคม กับคูเวต ตามที่ทางสมาคมได้ยื่นจดหมายติดต่อไว้แล้วล่วงหน้า และลงสู้ศึกฟุตบอลโลก 2014 ต่อไป
ซึ่งหลังเสร็จสิ้นงานแถลงข่าว เชเฟอร์ ก็ได้ร่วมลงนามเซ็นสัญญากับทางสมาคมฟุตบอล เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่มีการเปิดเผยเรื่องค่าจ้าง แต่คาดว่าตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อเดือน จากนั้น “วินนี่” พร้อม สุรชัย จตุภัทรพงศ์ ก็ได้ขอตัวเดินทางออกจากสมาคมฟุตบอลฯ เพื่อโดยสารเครื่องบินไปชมเกมการแข่งขันฟุตบอลโตโยต้า ลีกคัพ รอบ 32 ทีม ระหว่างบุรีรัมย์ พีอีเอ และ บุรีรัมย์ เอฟซี ที่สนามนิวไอโมบาย สเตเดี้ยม จังหวัดบุรีรัมย์ ในช่วงเวลา 18.00น. โดยทันที
