ASTVผู้จัดการรายวัน - ไม่ต้องรอนานเป็นทศวรรษ หลังจากพลิกปราชัยในรอบชิงใหญ่ศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) เมื่อ 5 ปีก่อน มาในซีรีส์ไฟนัลส์ ซีซัน 2010/11 เดิร์ก โนวิตซกี และพลพรรค "แมฟส์แมน" ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ มีโอกาสถอนแค้น ไมอามี ฮีท แต่ "บิ๊กทรี" เลอบรอน เจมส์, ดีเวย์น เหว็ด และ คริส บอช คงไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นง่ายๆ ในเมื่อพวกเขาก็หวังสัมผัส "แลร์รี โอไบรอัน โทรฟี" เช่นกัน
ไมอามี ฮีท กลายเป็นเต็งแชมป์ NBA ฤดูกาลนี้ทันทีที่ เลอบรอน เจมส์ ควงแขน คริส บอช หอบกระเป๋ามาผนึกกำลัง ดีเวย์น เหว็ด เพื่อนร่วมทีมชาติสหรัฐฯ ในถิ่นอเมริกันแอร์ไลน์ส อารีนา แม้ทำสถิติเข้าป้ายเป็นอันดับ 2 ทางฝั่งตะวันออกในเรคกูลา ซีซัน แต่เมื่อเข้าสู่เพลย์ออฟ "บิ๊กทรี" ก็นำทีมไล่เบี้ยกด ฟิลาเดลเฟีย เซเวนตีซิกเซอร์ส, บอสตัน เซลติกส์ ดีกรีรองแชมป์เก่า รวมถึง ชิคาโก บูลส์ ทีมที่มีสถิติดีสุดของซีซัน แบบ 4-1 เกม เป็นตัวแทนคอนเฟอเรนซ์อย่างเต็มภาคภูมิ เข้ามาปะทะฝีมือ ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ ทีมอันดับ 3 ฟากตะวันตก ซึ่งก็ผ่านขวากหนามอย่าง ปอร์ทแลนด์ เทรลเบลเซอร์ส (4-2 ) กวาดซีรีส์ใส่ "แชมป์เก่า" แอลเอ เลเกอร์ส รวมถึงใช้ลูกเก๋าพิชิต โอกลาโฮมา ซิตี ธันเดอร์ ลงได้ที่ 4-1 เกม
โดย เอ็นบีเอ ไฟนัลส์ ครั้งนี้ถือเป็นรีแมตช์จากเมื่อปี 2006 ครั้งนั้น เดิร์ก โนวิตซกี และ เจสัน เทอร์รี นำ "แมฟส์แมน" เก็บชัยในถิ่นทั้งสองเกม แต่เหตุการณ์กลับพลิกตาลปัตรเมื่อ "ดี-เหว็ด" ประสานงาน ชาคิล โอนีล นำฮีทกวาดชัย 4 เกมติด รวมถึงเกม 6 ที่บุกคำรามถึงถิ่นอเมริกันแอร์ไลน์ส เซ็นเตอร์ ช่วยให้แฟรนไชส์ปิดซีรีส์ได้ที่ 4-2 เกม เถลิงแชมป์ NBA เป็นสมัยแรกในประวัติศาสตร์
นับตั้งแต่ลีกใช้ระบบรอบชิงใหญ่แบบ "2-3-2" ตั้งแต่ปี 1985 ปรากฏว่า ทีมที่มีสถิติเหนือกว่าและได้เล่นในบ้านมากกว่าซิวแชมป์ได้ถึง 20 จาก 26 หน ทำให้บริษัทรับพนันถูกกฎหมายในสหรัฐฯ ต่างมองว่า ฮีท มีสิทธิเข้าป้ายคว้าความสำเร็จอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ฮีท ไม่สามารถประมาทได้เป็นอันขาดในเมื่อ "แมฟส์แมน" ชนะนอกถิ่นในโพสต์ซีซันปีนี้ได้ถึง 5 จากทั้งหมด 7 เกม ดังนั้นเกมเปิดหัวเช้าวันนี้ (พุธที่ 1 มิถุนายน 2554) หากลูกทีมของ เอริค สโปเอลสตรา ออกอาการเต้นให้เห็น ทิศทางของซีรีส์จะเทไปทาง แมฟเวอร์ริกส์
ซึ่งความหวังสูงสุดของแฟนๆ "แมฟส์แมน" ฝากไว้ที่ โนวิตซกี พาวเวอร์ ฟอร์เวิร์ด ชาวเยอรมัน ที่ผลงานเฉลี่ย 28.4 แต้มต่อเกม แถมควอเตอร์สุดท้ายมักปล่อยทีเด็ดได้เสมอ (เฉลี่ย 9.7 คะแนน) ในซีรีส์รอบชิงตามตำแหน่ง โนวิตซกี ต้องประกบโดยตรงกับ บอช ซึ่งก็กำลังเข้าฝักเฉลี่ย 18.6 แต้ม 8.9 รีบาวด์ ทว่ามีรายงาน สโปเอลสตรา เตรียมจัดหนักส่ง เลอบรอน ที่มีเกมรับเข้าขั้นเหนียวหนึบตามใส่กุญแจ "เดิร์ก" เมื่อเข้าสู่ช่วงสำคัญ ดั่งเช่นเคยล็อก พอล เพียร์ซ (เซลติกส์) และ เดอร์ริค โรส (บูลส์) จนไปไม่เป็น ทั้งยังมี โจเอล แอนโธนีย์ และ อูโดนิส ฮาสเลม คอยสลับช่วยหยุดยั้ง ดังนั้น โนวิตซกี คงต้องฉายฟอร์มเต็มกำลังหากหวังนำต้นสังกัดครองแชมป์สมัยแรก
อย่างไรก็ดี แมฟส์เวอร์ริกส์ ควรมีตัวช่วยในเกมบุก ทายสัน แชนด์เลอร์ จับจังหวะชิงพื้นที่ใต้แป้นเหนือ แอนโธนีย์ จุดอ่อนเดียวของฮีทให้ได้ เจสัน เทอร์รี, เจ.เจ. บาเรีย, เพยา สโตยาโควิช เหล่าสำรองทีเด็ดควรแม่นดั่งจับวางเหมือนรอบที่ผ่านๆ มา ที่สำคัญ เจสัน คิดด์ ต้องขุนความเก๋าออกมาใช้กับการคุมจังหวะในเพลย์บุกและเซตการตั้งรับของทีม ด้าน เดชอว์น สตีเวนสัน แม้ชื่อชั้นไม่สามารถเทียบ เหว็ด แต่นี่เป็นโอกาสอันดีที่ สตีเวนสัน จะได้พิสูจน์ฝีมือในการชะลอ "ดี-เหว็ด" ที่มีกระแสฝืนเล่นจากอาการบาดเจ็บไหล่
ส่วนทางฝั่งฮีท มักโดนปรามาสว่าพึ่งพาความสามารถของ "บิ๊กทรี" ล้วนๆ รวมกัน เลอบรอน, เหว็ด, บอช ทำเฉลี่ย 68.3 แต้มต่อเกมในเพลย์ออฟ อย่างไรก็ตาม คงต้องให้เครดิตเพื่อนร่วมทีมเช่นกัน ไมค์ มิลเลอร์ แม้เจ็บนิ้วมือแต่ในซีรีส์ชิงตะวันออกกลับมาแม่นสมฉายามือปืน ขณะที่ ฮาสเลม หายเจ็บมาทันเวลาเตรียมช่วยในส่วนของเกมรับเช่นเดียวกับ มาริโอ ชาลเมอร์ส ซึ่งถ้า ฮีท ช่วยกันเล่นบีบให้สกอร์ต่ำเข้าไว้โอกาสที่ซูเปอร์สตาร์อย่าง เลอบรอน จะมีแหวนวงแรกประดับนิ้วมือมีสูง แต่ในทางกลับกันหากไม่ใครหยุดยั้ง โนวิตซกี กอปรกับ "แมฟส์แมน" ดันมาแม่นพร้อมๆ กัน มีความเป็นไปได้ที่ มาร์ค คิวบาน เจ้าของทีมแมฟเวอร์ริกส์จะสุขสมหวังในท้ายที่สุด