คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน
แม้ว่าจะมีกำหนดไปเยือนทั้ง กรุงปารี และ กรุงลอนเดิน ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ก็น่าเสียดายจริงๆที่ผมคงยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะมีนัดชิงชนะเลิศ ยูเอ็ฟฟา แชมเปียนส์ ลีก ระหว่าง บารเซโลนา กับ แมนเชสเตอร์ ยูนายเท็ด ไม่เช่นนั้นก็คงมีโอกาสได้เฉียดเข้าไปซึมซับบรรยากาศแถวๆ เวมบลีย์ สเตเดียม แทนที่จะต้องชมการแข่งขันผ่านจอโทรทัศน์เท่านั้น
ถ้าดูที่ความจุ 90,000 ที่นั่งแล้ว เวมบลีย์ สเตเดียม นับว่าเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรปเลยทีเดียว เป็นรองก็แค่ คัมพ์ นู ของ บารเซโลนา ที่จุได้ถึง 99,354 ที่นั่ง และ เวมบลีย์ สเตเดียม กำลังจะสร้างสถิติในการเป็นสนามแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรยุโรปมากที่สุดถึง 6 ครั้ง โดยสมัยที่ยังไม่ได้ทุบทิ้งเพื่อสร้างใหม่ในนาม เอ็มพายร์ สเตเดียม ซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ปี 1923 นั้น เอซี มีลาน มาคว้าแชมป์ด้วยการชนะ เบนฟีกา 2-1 ที่สนามแห่งนี้เมื่อปี 1963 อีก 5 ปีต่อมา เบนฟีกา ได้เข้าชิงอีก แต่ก็โชคร้ายซ้ำสอง แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูนายเท็ด เละเทะ 4-1 ในปี 1971 อัยยักซ์ ก็ได้แชมป์ที่นี่ด้วยการเอาชนะ พานาธีนายกอส 2-0 ก่อนที่จะยิงยาวไปถึงปี 1973 เป็นแชมป์ 3 สมัยซ้อน ลิเวอร์พูล เฉือนชนะ คลับ บรูช 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศปี 1978 นั่นเป็นครั้งที่ 4 ของ เวมบลีย์ และหนล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1992 ที่ บารเซโลนา ชนะ ซามพ์โดเรีย 1-0 เช่นกัน
เงินรางวัลในปีนี้ ทาง ยูเอ็ฟฟา แจกให้ทีมที่เล่น รอบเพลย์-อ็อฟ ทีมละ 2.1 ล้าน ยูโร และทีมใดได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มก็รับรางวัลไปทีมละ 3.9 ล้าน ยูโร ซึ่งค่าเหนื่อยในการเล่นรอบแบ่งกลุ่มแต่ละนัดนั้น ทุกทีมจะได้รับนัดละ 550,000 ยูโร อันนี้ยังไม่รวมในกรณีชนะได้ 800,000 ยูโร เสมอได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนแพ้อด ทีมใดไปถึง รอบน็อค เอาท์ 16 ทีม ก็ได้รับอีก 3 ล้าน ยูโร ยิ่งเข้ารอบ 8 ทีมก็ได้เงินรางวัลอีก 3.3 ล้าน ยูโร และอีก 4.2 ล้าน ยูโร สำหรับผู้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ สุดท้าย ทีมแชมป์รับอีก 9 ล้าน ยูโร ส่วนรองแชมป์ได้ 5.6 ล้าน ยูโร
สำหรับตั๋วเข้าชมนัดชิงชนะเลิศคงไม่ต้องถามถึงครับ หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว โดย ยูเอ็ฟฟา จัดสรรให้ บารเซโลนา กับ แมนเชสเตอร์ ยูนายเท็ด ไปขายให้กองเชียร์ของตนทีมละ 25,000 ใบ ส่วนที่เหลือก็เปิดให้ทั่วโลกสั่งซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ทเท่านั้น ในระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่มีการมอบให้เอเจนท์หรือองค์กรใดนำไปตั้งโต๊ะขายทั้งสิ้น ซึ่งราคาตั๋วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ อันแรกเป็นโซนที่แพงที่สุด ราคาใบละ 300 พาวน์ด หรือประมาณ 14,700 บาท ประเภทที่สอง ใบละ 225 พาวน์ด ซึ่งในโซนนี้ถ้าจูงลูกจูงหลานมาชมการแข่งขันด้วย ก็คิดเหมาเป็น 1 ผู้ใหญ่ 1 เด็ก ราคาเพียง 338 พาวน์ด ส่วนประเภทที่สาม ราคาใบละ 150 พาวน์ด ในโซนนี้เขาจัดที่สำหรับคนพิการนั่งรถเข็นให้ด้วย โดยขายบัตรในราคาใบละ 80 พาวน์ดครับ
สิ่งที่ผมคิดว่า ยูเอ็ฟฟา เลือกได้เหมาะเหม็งจริงๆก็คือ ในปีนี้ แกรี ลีนิเคอร์ ( Gary Lineker ) อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ได้รับเกียรติจาก ยูเอ็ฟฟา ให้เป็นทูตนำถ้วยแชมป์เข้าสู่สนามในวันชิงชนะเลิศ เพราะเขาเป็นนักเตะอังกฤษที่เคยเล่นให้ บารเซโลนา ด้วยในช่วงปี 1986-1989 และที่สำคัญ เขาเป็นกองหน้าที่เล่นอย่างขาวสะอาดที่สุดในโลกคนหนึ่ง โดยตลอดชีวิตค้าแข้ง 16 ปีของเขา ไม่ว่าจะเล่นให้กับสโมสรหรือทีมชาติในรายการใดก็ตาม เขาไม่เคยได้รับใบเหลืองหรือใบแดงเลย
แม้ว่าจะมีกำหนดไปเยือนทั้ง กรุงปารี และ กรุงลอนเดิน ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ก็น่าเสียดายจริงๆที่ผมคงยังอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ในวันที่ 28 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะมีนัดชิงชนะเลิศ ยูเอ็ฟฟา แชมเปียนส์ ลีก ระหว่าง บารเซโลนา กับ แมนเชสเตอร์ ยูนายเท็ด ไม่เช่นนั้นก็คงมีโอกาสได้เฉียดเข้าไปซึมซับบรรยากาศแถวๆ เวมบลีย์ สเตเดียม แทนที่จะต้องชมการแข่งขันผ่านจอโทรทัศน์เท่านั้น
ถ้าดูที่ความจุ 90,000 ที่นั่งแล้ว เวมบลีย์ สเตเดียม นับว่าเป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของยุโรปเลยทีเดียว เป็นรองก็แค่ คัมพ์ นู ของ บารเซโลนา ที่จุได้ถึง 99,354 ที่นั่ง และ เวมบลีย์ สเตเดียม กำลังจะสร้างสถิติในการเป็นสนามแข่งขันนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลสโมสรยุโรปมากที่สุดถึง 6 ครั้ง โดยสมัยที่ยังไม่ได้ทุบทิ้งเพื่อสร้างใหม่ในนาม เอ็มพายร์ สเตเดียม ซึ่งเปิดใช้ตั้งแต่ปี 1923 นั้น เอซี มีลาน มาคว้าแชมป์ด้วยการชนะ เบนฟีกา 2-1 ที่สนามแห่งนี้เมื่อปี 1963 อีก 5 ปีต่อมา เบนฟีกา ได้เข้าชิงอีก แต่ก็โชคร้ายซ้ำสอง แพ้ แมนเชสเตอร์ ยูนายเท็ด เละเทะ 4-1 ในปี 1971 อัยยักซ์ ก็ได้แชมป์ที่นี่ด้วยการเอาชนะ พานาธีนายกอส 2-0 ก่อนที่จะยิงยาวไปถึงปี 1973 เป็นแชมป์ 3 สมัยซ้อน ลิเวอร์พูล เฉือนชนะ คลับ บรูช 1-0 ในนัดชิงชนะเลิศปี 1978 นั่นเป็นครั้งที่ 4 ของ เวมบลีย์ และหนล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1992 ที่ บารเซโลนา ชนะ ซามพ์โดเรีย 1-0 เช่นกัน
เงินรางวัลในปีนี้ ทาง ยูเอ็ฟฟา แจกให้ทีมที่เล่น รอบเพลย์-อ็อฟ ทีมละ 2.1 ล้าน ยูโร และทีมใดได้เข้ารอบแบ่งกลุ่มก็รับรางวัลไปทีมละ 3.9 ล้าน ยูโร ซึ่งค่าเหนื่อยในการเล่นรอบแบ่งกลุ่มแต่ละนัดนั้น ทุกทีมจะได้รับนัดละ 550,000 ยูโร อันนี้ยังไม่รวมในกรณีชนะได้ 800,000 ยูโร เสมอได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนแพ้อด ทีมใดไปถึง รอบน็อค เอาท์ 16 ทีม ก็ได้รับอีก 3 ล้าน ยูโร ยิ่งเข้ารอบ 8 ทีมก็ได้เงินรางวัลอีก 3.3 ล้าน ยูโร และอีก 4.2 ล้าน ยูโร สำหรับผู้ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ สุดท้าย ทีมแชมป์รับอีก 9 ล้าน ยูโร ส่วนรองแชมป์ได้ 5.6 ล้าน ยูโร
สำหรับตั๋วเข้าชมนัดชิงชนะเลิศคงไม่ต้องถามถึงครับ หมดเกลี้ยงไปนานแล้ว โดย ยูเอ็ฟฟา จัดสรรให้ บารเซโลนา กับ แมนเชสเตอร์ ยูนายเท็ด ไปขายให้กองเชียร์ของตนทีมละ 25,000 ใบ ส่วนที่เหลือก็เปิดให้ทั่วโลกสั่งซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ทเท่านั้น ในระหว่างวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึง วันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ไม่มีการมอบให้เอเจนท์หรือองค์กรใดนำไปตั้งโต๊ะขายทั้งสิ้น ซึ่งราคาตั๋วจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ อันแรกเป็นโซนที่แพงที่สุด ราคาใบละ 300 พาวน์ด หรือประมาณ 14,700 บาท ประเภทที่สอง ใบละ 225 พาวน์ด ซึ่งในโซนนี้ถ้าจูงลูกจูงหลานมาชมการแข่งขันด้วย ก็คิดเหมาเป็น 1 ผู้ใหญ่ 1 เด็ก ราคาเพียง 338 พาวน์ด ส่วนประเภทที่สาม ราคาใบละ 150 พาวน์ด ในโซนนี้เขาจัดที่สำหรับคนพิการนั่งรถเข็นให้ด้วย โดยขายบัตรในราคาใบละ 80 พาวน์ดครับ
สิ่งที่ผมคิดว่า ยูเอ็ฟฟา เลือกได้เหมาะเหม็งจริงๆก็คือ ในปีนี้ แกรี ลีนิเคอร์ ( Gary Lineker ) อดีตกองหน้าทีมชาติอังกฤษ ได้รับเกียรติจาก ยูเอ็ฟฟา ให้เป็นทูตนำถ้วยแชมป์เข้าสู่สนามในวันชิงชนะเลิศ เพราะเขาเป็นนักเตะอังกฤษที่เคยเล่นให้ บารเซโลนา ด้วยในช่วงปี 1986-1989 และที่สำคัญ เขาเป็นกองหน้าที่เล่นอย่างขาวสะอาดที่สุดในโลกคนหนึ่ง โดยตลอดชีวิตค้าแข้ง 16 ปีของเขา ไม่ว่าจะเล่นให้กับสโมสรหรือทีมชาติในรายการใดก็ตาม เขาไม่เคยได้รับใบเหลืองหรือใบแดงเลย
