xs
xsm
sm
md
lg

เอล กลาซีโก / กษิติ กมลนาวิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ EYE ON SPORTS โดย กษิติ กมลนาวิน

เอล กลาซีโก ( El Clasico ) หรือ เอล แดรบี เอสปาญอล ( El derbi Espanol ) เป็นชื่อที่ใช้เรียกแม็ทช์การแข่งขันฟุตบอลไม่ว่าจะเป็นเกมในรายการใดก็ตามระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บารเซโลนา สโมสรคู่ปรปักษ์จาก 2 เมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศสเปน ทั้ง 2 ทีมถือเป็นสโมสรยักษ์ใหญ่ที่ทรงอิทธิพล มั่งคั่ง และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศสเปน ซึ่งทุกๆปีจะมี เอล กลาซีโก ให้แฟนบอลได้ชมอย่างน้อย 2 นัดอยู่แล้วคือ เกมเหย้า-เยือนใน ปรีเมรา ดีบีซิออน ( Primera Division ) หรือ ลา ลีกา ( La Liga ) ฟุตบอลลีกสูงสูงของสเปน

ในปัจจุบัน เรอัล มาดริด มีฐานแฟนบอลมากที่สุดในสเปนราว 32 เพอร์เซ็นท์ ของประชากรทั้งประเทศ และแฟนทั่วยุโรปประมาณ 31.3 ล้านคน มีถ้วยรางวัลตั้งแสดงอยู่ที่สโมสรถึง 73 ใบ แต่ถ้านับรวมทั้งทวีปยุโรป บารเซโลนา กลับมีแฟนบอลชื่นชอบมากกว่า ประมาณ 57.8 ล้านคน ส่วนถ้วยรางวัลก็มีสะสมไว้ไม่น้อยเช่นกันรวม 70 ใบ

ความจริง ทั้ง 2 ทีมนี้เจอกันครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 1902 ซึ่ง บารซา เป็นฝ่ายชนะไป 3-1 แต่การเผชิญหน้ากันในเกมฟุตบอลเริ่มกลายเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ต่างฝ่ายต่างห้ำหั่นใส่กันอย่างที่ยอมกันไม่ได้ในยุค 1930 เมื่อ บารเซโลนา ประกาศตัวแสดงอัตลักษณ์ด้วยความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของแคว้นกาตาลูญา ( Cataluna ) โดยไม่ยี่หระต่ออำนาจการปกครองที่รวมศูนย์อยู่ที่ กรุงมาดริด อันเป็นเมืองหลวงของประเทศ ยิ่งในช่วงที่นายพล ฟรานซิสโก ฟรังโก ( Francisco Franco ) ครองอำนาจระหว่างปี 1939-1975 บารเซโลนา ถือเป็นฐานที่มั่นสำคัญของกลุ่มต่อต้านระบอบเผด็จการ ฟรังโก ทีเดียว

ในปี 1953 อัลเฟรโด ดี สเตฟาโน ( Alfredo Di Stefano ) สุดยอดกองหน้าชาวอารเกนตีนา วัย 27 ปีกำลังฮ็อทสุดขีดกับ เดปอรตีโบ ลอส มิลโลนาริโอส ( Deportivo Los Millonarios ) สโมสรดังใน โกลอมเบีย จากผลงาน 4 ฤดูกาล ลงเล่น 101 นัด ซัดไป 90 ประตู ทั้ง เรอัล มาดริด และ บารเซโลนา ต่างก็หมายปองพยายามแย่งชิงนักเตะเจ้าของฉายา ลูกธนูสีบลอนด์ ( Saeta rubia ) รายนี้ แต่ในท้ายสุดเป็น เรอัล มาดริด ที่ได้ตัว ดี สเตฟาโน ไป และเขาก็เป็นตัวจักรสำคัญที่ทำให้สโมสรคว้าแชมป์สโมสรยุโรป 5 สมัยซ้อน

ในเกม ยูเอ็ฟฟา แชมเปียนส์ ลีก ปี 2002 ทั้ง 2 ทีมต้องโคจรมาพบกันในรอบรองชนะเลิศ นัดแรกนั้น เรอัล มาดริด ชนะก่อน 2-0 ก่อนที่จะไปเสมอ 1-1 ที่ คัมพ์ นู ได้เข้าไปชิงชนะเลิศกับ บายเออร์ เลเวอร์คูเซน และคว้าแชมป์ในที่สุด จากผลสำรวจพบว่ามีผู้ชมทางโทรทัศน์ในนัดแรกนี้จากทั่วโลกราว 500 ล้านคน และนัดนี้สื่อมวลชนสเปนต่างยกย่องให้เป็น แม็ทช์แห่งศตวรรษเลยทีเดียว

เอล กลาซีโก ในปี 2005 บารซา บุกไปถล่ม มาดริด 3-0 ตอนนั้น บารซา มีดาราดังของทีมคือ โรเนาดิญโญ ซึ่งหลังจากโชว์ฟอร์มสุดยอดในเกมนี้ แฟนบอลฝ่าย มาดริด ทั้งสนามถึงกับลุกขึ้นยืนปรบมือให้อย่างสนั่นกึกก้องด้วยความชื่นชม นับเป็นรายที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่นักเตะบารซาได้รับเกียรตินี้ต่อจาก ดิเอโก มาราโดนา

การย้ายข้ามฝั่งของนักเตะดังของตนไปเล่นให้สโมสรคู่ปรปักษ์ก็ถือเป็นการเพิ่มไฟแค้นให้ เอล กลาซีโก มีความเข้มข้นขึ้นไปอีก อย่างเช่น แบร์นด ชุสเตอร์ ( Bernd Schuster ) ในปี 1988 มายเคิล เลาดรุพ ( Michael Laudrup ) ในปี 1994 และ ลูอิช ฟีโก ( Luis Figo ) ในปี 2000 ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักเตะ บารซา ที่จะย้ายไปปักหลักในเมืองหลวงมากกว่าการย้ายจาก มาดริด มาอยู่กับ บารซา

นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เรอัล มาดริด กับ บารเซโลนา พบกันในนัดที่เป็นทางการรวม 210 นัด และ มาดริด ประสบความสำเร็จมากกว่า ชนะถึง 85 เกม ส่วน บารซา ชนะ 82 เกม และเสมอกัน 43 ที่สำคัญ ในฤดูกาลนี้เกิด เอล กลาซีโก มากที่สุดถึง 5 นัด โดยเฉพาะ 4 นัดภายในระยะเวลาเพียง 3 สัปดาห์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับแต่ปี 1916 เอล กลาซีโก 5 นัดดังกล่าวคือ 2 นัดใน ลา ลีกา ที่ผ่านพ้นไปแล้ว โดยนัดแรก บารซา เจ้าบ้านถล่ม มาดริด ยับเยิน 5-0 แต่ มาดริด ทำได้แค่เสมอ 1-1 เมื่อกลับมาเล่นใน เอสตาดิโอ ซานติอาโก แบรนาเบอู เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา อีก 2 นัดเป็นเกมใน แชมเปียนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ซึ่งจะเตะกันนัดแรกวันที่ 27 เมษายนนี้ และนัดที่สอง วันที่ 3 พฤษภาคมนี้ และอีกเกมที่น่าติดตามคือ นัดชิงชนะเลิศ โกปา เดล เรย์ ( Copa del Rey ) ที่ เอสตาดิโอ เมสตายา ( Estadio Mestalla ) ใน บาเลนเซีย คืนนี้ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น