ASTVผู้จัดการ รายวัน - แม้ว่าตลอดเวลา 2 ปีที่ผ่านมาสโมสร "กิเลนผยอง" เมืองทอง หนองจอก ยูไนเต็ด จะประสบความสำเร็จด้วยการคว้าถ้วยแชมป์ฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 2 สมัยซ้อน ทว่าใน 2 ฤดูกาลดังกล่าวมีสิ่งที่น่าสังเกตคือมีการปรับเปลี่ยนตัวกุนซือมากถึง 5 รายด้วยกัน
โดยอดีตกุนซือทั้ง 4 คน ประกอบด้วย "โค้ชแต๊ก" อรรถพล บุษปาคม, เรเน เดอซาเยียร์, คาร์ลอส โรแบร์โต เดอ คาร์วัลโญ และล่าสุด โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ ที่รับงานขัดตาทัพก่อนจะมาลงเอยที่ เอ็นริเก คาลิสโต กุนซือชาวโปรตุเกสที่เคยนำทีมชาติเวียดนามคว้าแชมป์อาเซียน หรือ ซูซูกิ คัพ 2008 มาแล้ว
ทั้งนี้ "บิ๊กเป้" รณฤทธิ์ ซื่อวาจา ผู้จัดการทั่วไปสโมสร "กิเลนผยอง" กล่าวถึงต้นสายปลายเหตุแห่งการเปลี่ยนตัวกุนซือเป็นจำนวนมากของแชมป์ไทยพรี เมียร์ลีก 2 สมัยว่า "ต้องยอมรับความจริงว่าไม่มีทีมใดอยากให้เกิดเรื่องดังกล่าว เพราะการเปลี่ยนตัวโค้ชบ่อยอาจส่งผลกระทบต่อตัวผู้เล่น และแนวทางการบริหารจัดการของทีม ทว่าในความเป็นจริงแล้วสโมสรของเรามีแนวทางในการทำงานที่ชัดเจน อีกทั้งมีเป้าหมายสูงในการยกระดับทีมเพื่อไขว่คว้าความสำเร็จที่แตกต่างจาก ทีมอื่นๆ"
"ยกตัวอย่างกรณีของ คาร์ลอส อัลแบร์โต เดอ คาร์วัลโญ ที่มีเวลาทำงานเพียงแค่เดือนมกราคมถึงมีนาคมปีนี้ เนื่องจากแนวทางการทำงานไม่เป็นที่พอใจของผู้บริหาร พูดง่ายๆ คือไม่ประสบความสำเร็จ ลงแข่งขันในถ้วยพระราชทาน ก ก็แพ้ ชลบุรี เอฟซี ลงแข่งขันในฟุตบอลเอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก รอบเพลย์ออฟ แพ้จุดโทษทีม ศรีวิจายา จากอินโดนีเซีย ซึ่งเราหวังมากว่าทีมน่าจะผ่านเข้าสู่รอบแบ่งกลุ่มได้ แต่สุดท้ายเมื่อทำไม่ได้ เราต้องยอมรับการตัดสินใจเพราะมันส่งผลเสียหายต่อสโมสร"
นอกจากนี้ "เสี่ยเป้" กล่าวต่อไปด้วยว่า "ไม่ใช่ว่า คาร์ลอส เป็นโค้ชที่ไม่ดี แต่บางสถานการณ์แล้วอาจเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะเขาเน้นที่แท็คติกมากเกินไป ทำให้ทีมขาดเสน่ห์ในเรื่องของเกมรุกที่เคยเป็นลายเซ็นของทีมเมืองทองฯ มันหายไป สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความไม่สบายใจให้กองเชียร์อุลตราของทีม และยังสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้บริหารสโมสรอีกด้วย เราไม่อาจจะรอคอยได้ แม้จะมีระยะเวลาร่วมงานกันไม่นาน จึงต้องรีบปรับเปลี่ยนก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป"
ส่วนในกรณีของการเปลี่ยนกุนซืออย่าง "โค้ชแต๊ก" อรรถพล บุษปาคม ที่นำทีมคว้าแชมป์ไทยลีก 2552 และ เรเน เดอซาเยียร์ ที่นำทัพคว้าแชมป์ไทยลีก 2553 นั้น ผู้บริหารคนดังอย่าง "เสี่ยเป้" ยอมรับว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุผลหลายประการเนื่องจากต้องการยก ระดับทีมสู่แถวหน้าของเอเชียให้ได้
พร้อมกันนี้ผู้จัดการทั่วไป "กิเลนผยอง" ยอมรับว่าทีมมีเป้าหมายที่สูงมาก "ที่ผ่านมาเราคว้าแชมป์ได้มาตลอดใน 4 ปีล่าสุด ไล่มาตั้งแต่แชมป์ดิวิชัน 2 (2550), แชมป์ดิวิชัน 1(2551), แชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2 สมัย (2552-2553) และเราต้องการจะเป็นสโมสรฟุตบอลแห่งแรกในเมืองไทยที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างให้รวดเร็วทันการณ์ นอกจากนี้เป้าหมายสำหรับฤดูกาล 2011 เมืองทองฯ ต้องการคว้าแชมป์ถึง 4 รายการ คือ ถ้วยไทยพรีเมียร์ลีก, โตโยต้าลีกคัพ, เอฟเอ คัพ และ เอเอฟซี คัพ ขณะที่ โรเบิร์ต โปรคูเรอร์ นั้นมีงานในตำแหน่งผู้จัดการทีม และผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคของสโมสรให้ทำอยู่แล้ว ซึ่งผู้บริหารทีมมีความเชื่อมั่นว่า เอ็นริเก คาลิสโต น่าจะตอบโจทย์นี้ได้ เพราะคลุกคลีกับวงการฟุตบอลเอเชียมานาน ที่สำคัญเราอยากร่วมงานกันระยะยาว 5-10 ปีมากกว่าโค้ชรายที่ผ่านๆ มา"
สำหรับ คาลิสโต กุนซือวัย 58 ปี ที่เซ็นสัญญา 2 ปี คุมทัพ เมืองทองฯ ยูไนเต็ด พร้อมรับค่าเหนื่อย 800,000 บาทต่อเดือน กล่าวถึงความกดดันในการร่วมงานกับแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก 2 สมัยว่า "ถ้าผมพูดว่าผมไม่กลัวการโดนปลดจากตำแหน่งโค้ช ผมคงพูดโกหก แต่ในความเป็นจริงการทำงานโค้ชย่อมต้องผ่านพบเรื่องดังกล่าวอยู่จนเป็น เรื่องปกติ ซึ่งการร่วมงานกับ เมืองทองฯ ผมเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของผู้เล่น และความทะเยอทะยานของผู้บริหารจะเป็นส่วนผลักดันให้สโมสรแห่งนี้ก้าวไปข้าง หน้า อีกทั้งผมยังต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความก้าวหน้าในครั้งนี้"
"ผมรับรู้ในวันแรกที่เดินทางมาถึงประเทศไทยว่า เมืองทองฯ ต้องการ 4 แชมป์ในฤดูกาลนี้ และผมจะทำงานอย่างหนักเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นด้วยกัน และไม่ได้คิดว่าจะมายังยามาฮ่า สเตเดียม เพียงเพื่อทำงานระยะสั้น ผมต้องการสร้างทีมที่เน้นเกมรุกสวยงาม และสร้างความบันเทิงให้กับแฟนฟุตบอล สุดท้ายผมหวังว่าจะมีวันเวลาที่ดีกับสโมสรแห่งนี้" อดีตกุนซือทีมชาติเวียดนาม กล่าวทิ้งท้าย