คอลัมน์ สุดฟากสนาม โดย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี
22 กุมภาพันธ์ ปี 1991 ถามว่าหากถ้าย้อนเวลากลับไปคิดใหม่ เขาจะลาออกจากลิเวอร์พูลหรือไม่?
เคนนี่ ตอบ "แน่นอน..ผมเชื่อว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องแล้ว ช่วงนั้นสโมสรต้องการใครสักคนที่สามารถตัดสินใจได้ ซึ่งผมไม่อยู่ในสภาพเช่นนั้น"
แม้เชื่อว่าตัวเองคิดไม่ผิด แต่หัวใจของเคนนี่ ดัลกลิชมิได้ทำด้วยเหล็กหรือปูน เขา และมารีน่าภรรยา รวมทั้งลูกๆ เสียใจจนต้องหลั่งน้ำตา แถมที่เศร้ากว่านั้นก็คือความจริงที่คิงเคนนี่ เผยต่อมาว่า
"หลังกลับจาก ออร์แลนโด้ ผมยิ่งเศร้าเมื่อได้ยินข่าวสโมสรประกาศแต่งตั้ง แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ แน่นอนซูอี้ ดูเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในช่วงนั้น และผมเองก็ไม่มีสิทธิหวังให้ลิเวอร์พูลหวนกลับมาหา แต่หากฝ่ายบริหารของทีมรอสักหน่อยจนถึงช่วงซัมเมอร์ แล้วเอ่ยปากชวนผมกลับไปรับงานอีกครั้ง ผมไม่มีวันปฏิเสธแน่!"
อย่างที่ทราบกัน ฝ่ายบริหารหงส์แดงมิได้หันหลังกลับ หลังจากนั้นทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ทีมที่เป็นมหาอำนาจ แห่งลูกหนังอังกฤษเกือบสองทศวรรษ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดราวกับของว่าง มีอันต้องร่วงจากความยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ
"แม้ผมจะไม่มีโอกาสกลับถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงนั้น แต่คำว่า ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในหัวใจผมและครอบครัวเสมอ"
8 เดือนหลังจากนั้น เคนนี่ ตัดสินใจออกไปแสวงหาความสำเร็จครั้งใหม่กับทีมจากดิวิชั่นรองอย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ของท่านประธานแจ็ค วอล์คเกอร์ และพิสูจน์ฝีมือตัวเองเมื่อพาทีม "กุหลาบไฟ" เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 1994-95 โดยใช้เงินซื้อนักเตะไปทั้งสิ้น 27.55 ล้านปอนด์ ซึ่งก็รวมคนอย่าง อลัน เชียเร่อร์, คริส ซัตตัน, เดวิด แบ็ตตี้ และ ทิม ฟลาวเว่อร์
เคนนี่ ดัลกลิช พาตัวเองเข้าสู่ทำเนียบกุนซือที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสำเร็จ นอกเหนือจากคนอย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนฯยูไนเต็ด) อาร์แซน เวนเกอร์ (อาร์เซนอล) โฮเซ่ มูรินโญ่ (เชลซี) รวมแล้วก็เพียง 4 คนเท่านั้นที่มีชื่ออยู่ในบรรณพิภพว่าทำเช่นนั้นได้ตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกมาเกือบ 17 ปีเต็ม
ด้านสโมสร ลิเวอร์พูล นับเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานจาก แกรม ซูเนสส์ เป็น รอย อีแวนส์ และ เชราร์ อุลลิเยร์ จนกระทั่ง ราฟาเอล เบนิเตซ ยังไม่มีกุนซือคนใดที่พาทีมกลับไปยืนที่เดิมได้สำเร็จ
ค.ศ. 2009 หรือ 18 ปีหลังเดินออกจากถิ่นแอนฟิลด์ "คิงเคนนี่" ได้โอกาสกลับมาถิ่นเก่าที่เขารักอีกครั้ง แม้จะไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญอย่างผู้จัดการทีมตามที่ แฟนๆลิเวอร์พูล บางคนอยากให้เป็น แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของ ราฟา ที่ต้องการใครสักคนเข้ามาปฏิวัติ อคาเดมี ของสโมสรซึ่งมิอาจส่งนักเตะดาวรุ่งขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ได้เหมือนสมัย ไมเคิล โอเว่น , เจมี่ คาร์ราเกอร์ และสตีเว่น เจอร์ราร์ด จึงเกิด รีเทิร์น ออฟ เดอะ คิง(เคนนี่) ขึ้น
ราฟากล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องฟุตบอลหรือประสบการณ์เคนนี่คือคนซึ่งเหมาะสมที่สุด นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่รู้จักสโมสรและบุคลากรทุกคนหรือแม้แต่หญ้าทุกต้นในแอนฟิลด์ อีกบทบาทเขายังเป็นตัวแทนลิเวอร์พูลในฐานะฑูตของสโมสรที่เหมาะสมที่สุดด้วย"
สำหรับเหล่า เดอะ ค็อป คงหวังเพียงว่า การกลับมาอีกครั้งของคิงเคนนี่ จะเป็นตัวจุดประกายและลบล้างอาถรรพ์ที่ว่า เมื่อใดไม่มีคิงเคนนี่ หงส์แดงก็ไร้ตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ
สำเร็จจริงหรือไม่ เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์!
22 กุมภาพันธ์ ปี 1991 ถามว่าหากถ้าย้อนเวลากลับไปคิดใหม่ เขาจะลาออกจากลิเวอร์พูลหรือไม่?
เคนนี่ ตอบ "แน่นอน..ผมเชื่อว่าตัวเองตัดสินใจถูกต้องแล้ว ช่วงนั้นสโมสรต้องการใครสักคนที่สามารถตัดสินใจได้ ซึ่งผมไม่อยู่ในสภาพเช่นนั้น"
แม้เชื่อว่าตัวเองคิดไม่ผิด แต่หัวใจของเคนนี่ ดัลกลิชมิได้ทำด้วยเหล็กหรือปูน เขา และมารีน่าภรรยา รวมทั้งลูกๆ เสียใจจนต้องหลั่งน้ำตา แถมที่เศร้ากว่านั้นก็คือความจริงที่คิงเคนนี่ เผยต่อมาว่า
"หลังกลับจาก ออร์แลนโด้ ผมยิ่งเศร้าเมื่อได้ยินข่าวสโมสรประกาศแต่งตั้ง แกรม ซูเนสส์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ แน่นอนซูอี้ ดูเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในช่วงนั้น และผมเองก็ไม่มีสิทธิหวังให้ลิเวอร์พูลหวนกลับมาหา แต่หากฝ่ายบริหารของทีมรอสักหน่อยจนถึงช่วงซัมเมอร์ แล้วเอ่ยปากชวนผมกลับไปรับงานอีกครั้ง ผมไม่มีวันปฏิเสธแน่!"
อย่างที่ทราบกัน ฝ่ายบริหารหงส์แดงมิได้หันหลังกลับ หลังจากนั้นทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ทีมที่เป็นมหาอำนาจ แห่งลูกหนังอังกฤษเกือบสองทศวรรษ คว้าแชมป์ลีกสูงสุดราวกับของว่าง มีอันต้องร่วงจากความยิ่งใหญ่อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ
"แม้ผมจะไม่มีโอกาสกลับถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงนั้น แต่คำว่า ลิเวอร์พูล ยังอยู่ในหัวใจผมและครอบครัวเสมอ"
8 เดือนหลังจากนั้น เคนนี่ ตัดสินใจออกไปแสวงหาความสำเร็จครั้งใหม่กับทีมจากดิวิชั่นรองอย่าง แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส ของท่านประธานแจ็ค วอล์คเกอร์ และพิสูจน์ฝีมือตัวเองเมื่อพาทีม "กุหลาบไฟ" เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จในฤดูกาล 1994-95 โดยใช้เงินซื้อนักเตะไปทั้งสิ้น 27.55 ล้านปอนด์ ซึ่งก็รวมคนอย่าง อลัน เชียเร่อร์, คริส ซัตตัน, เดวิด แบ็ตตี้ และ ทิม ฟลาวเว่อร์
เคนนี่ ดัลกลิช พาตัวเองเข้าสู่ทำเนียบกุนซือที่สามารถพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสำเร็จ นอกเหนือจากคนอย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนฯยูไนเต็ด) อาร์แซน เวนเกอร์ (อาร์เซนอล) โฮเซ่ มูรินโญ่ (เชลซี) รวมแล้วก็เพียง 4 คนเท่านั้นที่มีชื่ออยู่ในบรรณพิภพว่าทำเช่นนั้นได้ตั้งแต่มีพรีเมียร์ลีกมาเกือบ 17 ปีเต็ม
ด้านสโมสร ลิเวอร์พูล นับเป็นการรอคอยที่เนิ่นนานจาก แกรม ซูเนสส์ เป็น รอย อีแวนส์ และ เชราร์ อุลลิเยร์ จนกระทั่ง ราฟาเอล เบนิเตซ ยังไม่มีกุนซือคนใดที่พาทีมกลับไปยืนที่เดิมได้สำเร็จ
ค.ศ. 2009 หรือ 18 ปีหลังเดินออกจากถิ่นแอนฟิลด์ "คิงเคนนี่" ได้โอกาสกลับมาถิ่นเก่าที่เขารักอีกครั้ง แม้จะไม่ได้นั่งตำแหน่งสำคัญอย่างผู้จัดการทีมตามที่ แฟนๆลิเวอร์พูล บางคนอยากให้เป็น แต่ด้วยวิสัยทัศน์ของ ราฟา ที่ต้องการใครสักคนเข้ามาปฏิวัติ อคาเดมี ของสโมสรซึ่งมิอาจส่งนักเตะดาวรุ่งขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ได้เหมือนสมัย ไมเคิล โอเว่น , เจมี่ คาร์ราเกอร์ และสตีเว่น เจอร์ราร์ด จึงเกิด รีเทิร์น ออฟ เดอะ คิง(เคนนี่) ขึ้น
ราฟากล่าวว่า "ไม่ว่าจะเป็นความรู้เรื่องฟุตบอลหรือประสบการณ์เคนนี่คือคนซึ่งเหมาะสมที่สุด นอกจากนั้นเขายังเป็นคนที่รู้จักสโมสรและบุคลากรทุกคนหรือแม้แต่หญ้าทุกต้นในแอนฟิลด์ อีกบทบาทเขายังเป็นตัวแทนลิเวอร์พูลในฐานะฑูตของสโมสรที่เหมาะสมที่สุดด้วย"
สำหรับเหล่า เดอะ ค็อป คงหวังเพียงว่า การกลับมาอีกครั้งของคิงเคนนี่ จะเป็นตัวจุดประกายและลบล้างอาถรรพ์ที่ว่า เมื่อใดไม่มีคิงเคนนี่ หงส์แดงก็ไร้ตำแหน่งแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ
สำเร็จจริงหรือไม่ เวลาเท่านั้นเป็นเครื่องพิสูจน์!