xs
xsm
sm
md
lg

รีเทิร์น ออฟ เดอะ คิง (1) / ธีรพัฒน์ อัครเศรณี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ สุดฟากสนาม โดย ธีรพัฒน์ อัครเศรณี

การเดินทางกลับสู่รังแอนฟิลด์อีกครั้งของ "คิง เคนนี่" เคนนี่ ดัลกลิช เพื่อรับตำแหน่งทูตสโมสรและคุมอคาเดมี อาจเป็นเพียงข่าวระดับบีบวกในพื้นที่สื่อกีฬาต่างประเทศ แต่เชื่อเถอะสำหรับตัวคิงเคนนี่และแฟนลิเวอร์พูลแล้ว มันมีความหมายสูงยิ่งนัก ในแง่ของสัญลักษณ์และแรงบันดาลใจ

ในฐานะนักเตะ เคนนี่ ดัลกลิช เคยฝากควาทรงจำให้แฟนบอลลิเวอร์พูล ฐานะตัวแทนนักเตะหมายเลข 7 ของ เควิน คีแกน ที่อำลาไปอยู่ ฮัมบูร์ก เอสวี เมื่อปี 1977 แม้ไม่ใช่กองหน้าที่มีความเร็วจัดหรือเลี้ยงบอลเก่งปานพ่อมด แต่ "คิงเคนนี่" เป็นนักฟุตบอลที่ฉลาด อ่านเกมเก่ง และผ่านบอลแม่นที่สุดคนหนึ่ง ภายหลังเขาประสานงานกับ เอียน รัช จนกลายเป็นคู่กองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมก็ว่าได้

ในฐานะผู้จัดการทีม เขาคือผู้เล่น-ผู้จัดการทีม คนแรกในประวัติศาสตร์ที่พา ลิเวอร์พูล คว้าดับเบิลแชมป์ ตั้งแต่ปีแรกที่รับงานเมื่อปี 1986 แถมยังตัดสินใจแบบฟ้าผ่า ขออำลาทีมไปแบบช็อคโลกเมื่อปี 1991 ระหว่างฤดูกาลและทีมกำลังประสบความสำเร็จ อาจจะเรียกว่าเป็นการลาออกที่ช็อควงการฟุตบอลที่สุดก็ว่าได้

ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์สำคัญซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สโมสรลิเวอร์พูล ไร้ร้างความสำเร็จ เคนนี่ ดัลกลิช เคยเผยไว้ในหนังอัตชีวประวัติของเขาเองว่า การตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมในครั้งนั้นเพราะความเครียดจากสาเหตุหลายๆอย่าง ซึ่งตัวเขาเองก็มิอาจแยกแยะ แต่โศกนาฎกรรมที่ฮิลส์โบโร ซึ่งมีแฟนเดอะค็อป เสียชีวิตถึง 96 รายนั่นคือเหตุผลหลัก

ช่วงเวลา 22 เดือนระหว่างเหตุการณ์นั้นกับการลาออก ความกดดันเข้าจู่โจมโถมใส่เคนนี่ โดยเจ้าตัวเองรู้มาก่อนหน้านั้นนานพอสมควร เขาเผยว่าอยากจะชิงลาออกตั้งแต่ปี 1990 หรือหนึ่งปีก่อนหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่มีใครล่วงรู้

ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คิงเคนนี่ ตัดสินใจลาออกจริงๆเมื่อ 18 ปีก่อน เกิดขึ้นเกมระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับลิเวอร์พูล ในศึก เอฟ.เอ.คัพ รอบที่ห้า นัดรีเพลย์ ซึ่งจบลงด้วยสกอร์เสมอ 4-4 แต่มิใช่เรื่องของผลการแข่งขัน เพราะเคนนี่ บอกว่าต่อให้ชนะ 4-0 ก็จะขอลงจากตำแหน่ง เพียงเพราะเขาคิดว่าตนเองไม่อยู่ในสภาพพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์ในการกุมบังเหียนทีมเท่านั้น

เหตุการณ์ที่เป็นตัวแปรสำคัญเกิดขึ้นตอนที่ทีมขึ้นนำท็อฟฟี่เมน 4-3 และใกล้จะได้รับชัยชนะ เคนนี่ มองไปที่ รอนนี่ มอแรน ผู้ช่วยของเขา แล้วกล่าวว่า "เราจะเปลี่ยนตำแหน่ง แจน โมลบี้ ลงไปคุมแนวหลังเป็นตัวสุดท้าย (สวีปเปอร์) เพื่อหยุดโทนี่ ค็อตตี้" แต่พอมอแรน ท้วงว่า "รอก่อน" เขาก็เลยไม่ได้ตัดสินใจทำอะไรลงไป และในที่สุดทีมก็ถูกตีเสมอ ซึ่ง เคนนี่ ยอมรับว่า เขาไม่โทษรอนนี่ แต่โทษตัวเองที่ไม่เด็ดขาด ส่งผลเสียหายต่อทีมอย่างใหญ่หลวง

"สภาพจิตใจที่ไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ทำให้การตัดสินใจของผมเปลี่ยนไป ไม่เป็นผู้นำ ไม่เฉียบขาดเหมือนที่เคยเป็นมา"

(อ่านต่อฉบับหน้า)
กำลังโหลดความคิดเห็น