คอลัมน์ Final Quarter โดย ลุงแซม
เรียบร้อยโรงเรียน “เลเกอร์ส” กันไป สำหรับศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ประจำฤดูกาล 2008/09 เมื่อ โคบี ไบรอันท์ นำทีมดังแห่งมหานครลอสแองเจลลิส ครองแชมป์เป็นสมัยที่ 15 ในประวัติศาสตร์ทีม ช่วยให้ ฟิล แจ็คสัน โค้ชแห่งตำนานมีแหวนแชมป์ครบ 10 นิ้วพอดิบพอดี
ในรอบชิง NBA ที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีจุดปลี่ยนเน้นๆ เกิดขึ้นในเกมที่ 2 และ 4 โดยเกมที่สองหาก คอร์ทนีย์ ลี “แอลลี ฮูป” ลูกจ่ายของ เฮโด เทอร์โกกลู ลงห่วงไปในวินาทีท้าย แมจิก คงไม่ต้องมาต่อเวลาก่อนพ่ายอย่างเจ็บปวด 96-101 คะแนน พร้อมส่ง เลเกอร์ส ขึ้นนำ 2-0 เกม ส่วนเกมที่ 4 หาก ดไวท์ ฮาวเวิร์ด ชู้ตลูกโทษลงสักหนเดียวจากโอกาส 2 ครั้งท้ายเกม แมจิก ก็จะทิ้งห่าง 4 แต้ม แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น เลเกอร์ส จึงคัมแบ็กใส่ในช่วงต่อเวลาอีก 99-91 คะแนน
อันที่จริงอยากพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของซีรีส์อีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือการคัมแบ็กของ “จาเมียร์ เนลสัน” อันที่จริงผมไม่ต้องการโยนบาปให้การ์ดดีกรีออล-สตาร์ แต่ในฐานะที่แอบเชียร์ให้ แมจิก สมหวังจึงอดคิดถึงประเด็นนี้ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะการกลับมาของผู้เล่นที่ร้างสนามไปนานร่วม 4 เดือน จากการไปผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ข้างขวา ทำให้ระบบทีมปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัดจากเกมแรกที่โดน เลเกอร์ส ถลุงยับ 75-100 คะแนน ทั้งยังมาสร้างความกดดันให้ ราเฟอร์ อัลสตัน อีกเป็นกอง
ในซีรีส์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เนลสัน ยังไม่ใช่ เนลสัน คนเดิมซึ่งเคยเฉลี่ย 27.5 แต้ม ในการเจอกับ เลเกอร์ส ช่วงฤดูกาลปกติ แต่นี่เป็น เนลสัน ในภาคที่เฉลี่ยแค่ 3.8 แต้ม แอสซิสต์ให้เพื่อนทำแต้มไป 14 หน และก็เป็นบ่อให้ ดีเร็ค ฟิสเชอร์ เรียกความมั่นใจคืนมาด้วยการส่องสามแต้มสำคัญลงห่วงถึง 2 ครั้งในเกมที่ 4 แต่หากมองในแง่ของความเป็นมนุษย์ ใครบ้างไม่อยากลงสนามในรอบชิง ในเมื่อตัวเองก็พร้อมในระดับหนึ่ง นี่จึงเป็นเรื่องให้น่าเห็นใจเช่นกัน
แม้ประกาศผ่านสื่อไม่เสียใจกับการกลับมาหนนี้ ทว่าลึกๆ แล้ว เนลสัน คงนำเรื่องที่เกิดขึ้นมาคิดอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การ์ดวัย 27 ปี ต้องใช้ความเป็นมืออาชีพกลบข้อครหาไปได้ แมจิก มีโอกาสคัมแบ็กกลับมายิ่งใหญ่ในฤดูกาลหน้า เพราะอย่างน้อยก็มีข่าวดีว่าบอร์ดบริหารพร้อมจ่าย “ภาษีฟุ่มเฟือย” แบบเหรียญต่อเหรียญให้ลีก เพื่อต่อสัญญาเก็บ เทอร์โกกลู เอาไว้ หลังจากที่ฟอร์เวิร์ดจอมแม่นทีมชาติตุรกีมีอ๊อปชั่นเลือกหมดสัญญาช่วงซัมเมอร์นี้พอดี ถ้าการเจรจาสัมฤทธิ์ผล ผมคิดว่า 5 ตัวจริงของ แมจิก ไม่แพ้ใครในลีก (เนลสัน, ลี, ฮาวเวิร์ด, เทอร์โกกลู และ ราชาร์ด ลูอิส) อ้อ...เพิ่มเติมสำรองดีๆ อีกสัก 2 คนก็เยี่ยมเลยครับ
ไปดูทางฝั่งผู้ชนะบ้าง แฟนๆ เลเกอร์ส คงไม่อยากเห็นทีมอยู่ในอารมณ์เหมือน “ยกภูเขาออกจากอก” เพราะเมื่อใดก็ตามที่งานลุล่วงแล้วคิดว่าภารกิจจบสิ้นแล้ว โอกาสประสบความสำเร็จต่อๆ ไปคงน้อยลง
“โคบี ไบรอันท์” ดูเหมือนได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการแล้วในโลกแห่งบาสเกตบอล ทั้งการลบคำสบประมาทว่าเกาะหลัง ชาคิล โอนีล เป็นแชมป์ระหว่างปี 2000-02 คราวนี้สวมบทแม่ทัพตัวจริงพา เลเกอร์ส ครองแชมป์ พร้อมได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของรอบชิง หลังจากเมื่อปีก่อนได้ MVP ในฤดูกาลปกติ นี่เหรียญทอง “โอลิมปิกเกมส์” ก็ได้มาแล้วที่จีนเมื่อปี 2008 ความท้าทายเดียวที่เหลืออยู่ของ โคบี เห็นจะเป็นการล่าแชมป์ให้เทียบ ไมเคิล จอร์แดน ตำนาน ชิคาโก บูลส์ ที่ฟาดไปคนเดียว 6 สมัย อายุอานามของ โคบี เพิ่งขึ้นสู่หลักสาม เวลาอีก 3-4 ปีนี้ถือว่ายังพีคได้อีก แชมป์ลำดับที่ 5 และ 6 อาจตามมาในไม่ช้า หากองค์ประกอบดียังครบถ้วนและดีขึ้น
ช่วงปิดฤดูกาล มิทช์ คัพแช็ค ผู้จัดการทั่วไปคงต้องปรึกษาตระกูล “บัสส์” เจ้าของทีมเลเกอร์ส ว่าจะเอาอย่างไรกับ เทรเวอร์ อริซา และ ลามาร์ โอดอม ที่มีคิวเป็นฟรีเอเย่นต์ มันก็น่าคิดหากต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง ในเมื่อทั้งคู่เป็นอาวุธเสริมชิ้นสำคัญ ช่วยแบ่งเบาภาระของ โคบี กับ เพา กาซอล ได้ดีทีเดียว
ส่วนอีกหนึ่งจุดที่สำคัญและเป็นคำถามตัวเบ้อเริ่ม “ฟิล แจ็คสัน” เหลือไฟในการทำงานมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อเขาเพิ่งได้แหวนแชมป์วงที่ 12 (สองวงมาจากครั้งตอนเป็นผู้เล่น) กลายเป็นโค้ชที่เป็นแชมป์มากที่สุดเหนือ เรด ออเออร์แบคช์ ตำนานผู้ล่วงลับของ บอสตัน เซลติกส์ เป็นที่เรียบร้อย ก่อนหน้านี้ “บิ๊กฟิล” ปฏิเสธคุมบังเหียน “ดรีมทีม” นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กาลเวลาแห่งการคุมทีมถึงช่วงนับถอยหลังเข้ามาทุกขณะ?
เรียบร้อยโรงเรียน “เลเกอร์ส” กันไป สำหรับศึกบาสเกตบอล เอ็นบีเอ (NBA) ประจำฤดูกาล 2008/09 เมื่อ โคบี ไบรอันท์ นำทีมดังแห่งมหานครลอสแองเจลลิส ครองแชมป์เป็นสมัยที่ 15 ในประวัติศาสตร์ทีม ช่วยให้ ฟิล แจ็คสัน โค้ชแห่งตำนานมีแหวนแชมป์ครบ 10 นิ้วพอดิบพอดี
ในรอบชิง NBA ที่เพิ่งผ่านพ้นไปมีจุดปลี่ยนเน้นๆ เกิดขึ้นในเกมที่ 2 และ 4 โดยเกมที่สองหาก คอร์ทนีย์ ลี “แอลลี ฮูป” ลูกจ่ายของ เฮโด เทอร์โกกลู ลงห่วงไปในวินาทีท้าย แมจิก คงไม่ต้องมาต่อเวลาก่อนพ่ายอย่างเจ็บปวด 96-101 คะแนน พร้อมส่ง เลเกอร์ส ขึ้นนำ 2-0 เกม ส่วนเกมที่ 4 หาก ดไวท์ ฮาวเวิร์ด ชู้ตลูกโทษลงสักหนเดียวจากโอกาส 2 ครั้งท้ายเกม แมจิก ก็จะทิ้งห่าง 4 แต้ม แต่เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น เลเกอร์ส จึงคัมแบ็กใส่ในช่วงต่อเวลาอีก 99-91 คะแนน
อันที่จริงอยากพูดถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของซีรีส์อีกจุดหนึ่ง นั่นก็คือการคัมแบ็กของ “จาเมียร์ เนลสัน” อันที่จริงผมไม่ต้องการโยนบาปให้การ์ดดีกรีออล-สตาร์ แต่ในฐานะที่แอบเชียร์ให้ แมจิก สมหวังจึงอดคิดถึงประเด็นนี้ไม่ได้เลยจริงๆ เพราะการกลับมาของผู้เล่นที่ร้างสนามไปนานร่วม 4 เดือน จากการไปผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ข้างขวา ทำให้ระบบทีมปั่นป่วนอย่างเห็นได้ชัดจากเกมแรกที่โดน เลเกอร์ส ถลุงยับ 75-100 คะแนน ทั้งยังมาสร้างความกดดันให้ ราเฟอร์ อัลสตัน อีกเป็นกอง
ในซีรีส์ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เนลสัน ยังไม่ใช่ เนลสัน คนเดิมซึ่งเคยเฉลี่ย 27.5 แต้ม ในการเจอกับ เลเกอร์ส ช่วงฤดูกาลปกติ แต่นี่เป็น เนลสัน ในภาคที่เฉลี่ยแค่ 3.8 แต้ม แอสซิสต์ให้เพื่อนทำแต้มไป 14 หน และก็เป็นบ่อให้ ดีเร็ค ฟิสเชอร์ เรียกความมั่นใจคืนมาด้วยการส่องสามแต้มสำคัญลงห่วงถึง 2 ครั้งในเกมที่ 4 แต่หากมองในแง่ของความเป็นมนุษย์ ใครบ้างไม่อยากลงสนามในรอบชิง ในเมื่อตัวเองก็พร้อมในระดับหนึ่ง นี่จึงเป็นเรื่องให้น่าเห็นใจเช่นกัน
แม้ประกาศผ่านสื่อไม่เสียใจกับการกลับมาหนนี้ ทว่าลึกๆ แล้ว เนลสัน คงนำเรื่องที่เกิดขึ้นมาคิดอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม การ์ดวัย 27 ปี ต้องใช้ความเป็นมืออาชีพกลบข้อครหาไปได้ แมจิก มีโอกาสคัมแบ็กกลับมายิ่งใหญ่ในฤดูกาลหน้า เพราะอย่างน้อยก็มีข่าวดีว่าบอร์ดบริหารพร้อมจ่าย “ภาษีฟุ่มเฟือย” แบบเหรียญต่อเหรียญให้ลีก เพื่อต่อสัญญาเก็บ เทอร์โกกลู เอาไว้ หลังจากที่ฟอร์เวิร์ดจอมแม่นทีมชาติตุรกีมีอ๊อปชั่นเลือกหมดสัญญาช่วงซัมเมอร์นี้พอดี ถ้าการเจรจาสัมฤทธิ์ผล ผมคิดว่า 5 ตัวจริงของ แมจิก ไม่แพ้ใครในลีก (เนลสัน, ลี, ฮาวเวิร์ด, เทอร์โกกลู และ ราชาร์ด ลูอิส) อ้อ...เพิ่มเติมสำรองดีๆ อีกสัก 2 คนก็เยี่ยมเลยครับ
ไปดูทางฝั่งผู้ชนะบ้าง แฟนๆ เลเกอร์ส คงไม่อยากเห็นทีมอยู่ในอารมณ์เหมือน “ยกภูเขาออกจากอก” เพราะเมื่อใดก็ตามที่งานลุล่วงแล้วคิดว่าภารกิจจบสิ้นแล้ว โอกาสประสบความสำเร็จต่อๆ ไปคงน้อยลง
“โคบี ไบรอันท์” ดูเหมือนได้ทุกสิ่งที่เขาต้องการแล้วในโลกแห่งบาสเกตบอล ทั้งการลบคำสบประมาทว่าเกาะหลัง ชาคิล โอนีล เป็นแชมป์ระหว่างปี 2000-02 คราวนี้สวมบทแม่ทัพตัวจริงพา เลเกอร์ส ครองแชมป์ พร้อมได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของรอบชิง หลังจากเมื่อปีก่อนได้ MVP ในฤดูกาลปกติ นี่เหรียญทอง “โอลิมปิกเกมส์” ก็ได้มาแล้วที่จีนเมื่อปี 2008 ความท้าทายเดียวที่เหลืออยู่ของ โคบี เห็นจะเป็นการล่าแชมป์ให้เทียบ ไมเคิล จอร์แดน ตำนาน ชิคาโก บูลส์ ที่ฟาดไปคนเดียว 6 สมัย อายุอานามของ โคบี เพิ่งขึ้นสู่หลักสาม เวลาอีก 3-4 ปีนี้ถือว่ายังพีคได้อีก แชมป์ลำดับที่ 5 และ 6 อาจตามมาในไม่ช้า หากองค์ประกอบดียังครบถ้วนและดีขึ้น
ช่วงปิดฤดูกาล มิทช์ คัพแช็ค ผู้จัดการทั่วไปคงต้องปรึกษาตระกูล “บัสส์” เจ้าของทีมเลเกอร์ส ว่าจะเอาอย่างไรกับ เทรเวอร์ อริซา และ ลามาร์ โอดอม ที่มีคิวเป็นฟรีเอเย่นต์ มันก็น่าคิดหากต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง ในเมื่อทั้งคู่เป็นอาวุธเสริมชิ้นสำคัญ ช่วยแบ่งเบาภาระของ โคบี กับ เพา กาซอล ได้ดีทีเดียว
ส่วนอีกหนึ่งจุดที่สำคัญและเป็นคำถามตัวเบ้อเริ่ม “ฟิล แจ็คสัน” เหลือไฟในการทำงานมากน้อยแค่ไหน ในเมื่อเขาเพิ่งได้แหวนแชมป์วงที่ 12 (สองวงมาจากครั้งตอนเป็นผู้เล่น) กลายเป็นโค้ชที่เป็นแชมป์มากที่สุดเหนือ เรด ออเออร์แบคช์ ตำนานผู้ล่วงลับของ บอสตัน เซลติกส์ เป็นที่เรียบร้อย ก่อนหน้านี้ “บิ๊กฟิล” ปฏิเสธคุมบังเหียน “ดรีมทีม” นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า กาลเวลาแห่งการคุมทีมถึงช่วงนับถอยหลังเข้ามาทุกขณะ?