เอฟเวอร์ตัน กลายเป็น "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" ประจำศึก เอฟเอ คัพ ฤดูกาลนี้ เมื่อดับความหวัง 5 แชมป์ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทะลุเข้าสู่นัดชิงชนะเลิศครั้งที่ 128 ได้สำเร็จ แต่คงไร้ความหมายอะไรหากเอาชนะ เชลซี ไม่ได้ ในวันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคมนี้ที่สนาม เวมบลีย์ กรุงลอนดอน เวลา 3 ทุ่มตรงไปลุ้นกันว่าใครจะซิวถ้วยใบเก่าแก่ที่สุดในโลกนี้ไปครอง ก่อนปิดฉากศึกฟุตบอลอังกฤษปีนี้อย่างสมบูรณ์แบบ หลังจากขับเคี่ยวกันมานานถึง 9 เดือน
ถือเป็นการตบเท้าเข้าสู่นัดชิงครั้งแรกของ เอฟเวอร์ตัน นับตั้งแต่ปี 1995 ที่คว้าแชมป์สมัยที่ 5 พร้อมกับพิสูจน์ให้เห็นว่าใครหน้าไหนก็ห้ามล้อเล่นกับถ้วยแห่งอาถรรพ์ใบนี้ เพราะ "ผีแดง" ส่งชุดสำรองจนกระเด็นตกรอบรองฯ ด้วยการดวลเป้าแพ้ขุนพล "ท็อฟฟีแมน" แต่เหนืออื่นใดต้องยกเครดิตให้กับลูกทีมของ เดวิด มอยส์ เพราะตั้งแต่รอบ 4 ก็ล้มทีมจาก พรีเมียร์ชิป ด้วยกันไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล, แอสตัน วิลลา และ มิดเดิลสโบรช์
ซึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ มอยส์ ที่เพิ่งคว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมผู้จัดการทีมลีกอังกฤษ เป็นสมัยที่ 3 ได้เป็นคนแรกต่อจากปี 2003 และ 2005 ทั้งที่ย้ายจาก เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ มาคุมทัพในถิ่น กูดิสัน ปาร์ค เมื่อปี 2002 เนื่องจากในปีนี้ เอฟเวอร์ตัน ประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บระนาว แต่ถึงกระนั้นก็ตามยังสปีดแซง วิลลา จบด้วยอันดับ 5 ได้สำเร็จ พร้อมคว้าสิทธิ์ไปลุย ยูโรปา ลีก ในฤดูกาลหน้า
นัดชิง เอฟเวอร์ตัน ก็จะยังคงไม่มี อเย็กบินี ยาคูบู และ วิคเตอร์ อนิเชเบ สองกองหน้า, มิเกล อาร์เตตา เพลย์เมกเกอร์ชาวสแปนิช และ ฟิล จากิลกา เซนเตอร์แบ็กตัวแกร่ง ที่บาดเจ็บทั้งหมด ทำให้ หลุยส์ ซาฮา ดาวยิงฝรั่งเศส ลั่นจะคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ให้ได้เพื่อเพื่อนร่วมทีมที่ไม่ได้เล่น "ฤดูกาลนี้เรามีนักเตะสำคัญบาดเจ็บหลายคน ถือเป็นโชคร้ายและผมรู้สึกเสียใจมากทั้งที่พวกเขาควรจะได้ลงเล่นในนัดชิง แน่นอนผมจะคว้าแชมป์เพื่อทุกคนให้ได้"
เกมนี้ เอฟเวอร์ตัน อดีตแชมป์ 5 สมัย จะสวมเสื้อชุดเก่งสีน้ำเงิน หลังชนะเสี่ยงทายเหรียญ ส่วน เชลซี จะใส่สีเหลือง "ท็อฟฟีสีน้ำเงิน" จะนำทัพโดย ฟิล เนวิลล์ กัปตันทีมที่ลงเล่นนัดชิงเป็นครั้งที่ 4, ทิม เคฮิลล์ และ มารัวเน เฟลลายนี ซึ่ง 2 คนนี้คนใดคนหนึ่งอาจจะถูกดันไปช่วยสนับสนุน ซาฮา ในแดนหน้า นอกจากนี้ ลีออน ออสมัน และ สตีเวน พีนาร์ ก็ยังอยู่พร้อมเป็นตัวเลือกในแดนกลาง ส่วนกองหลัง โจเซฟ โยโบ จะยืนแทน จากิลกา โดยจับคู่กับ โจลีออน เลสค็อตต์
ส่วน เชลซี อดีตแชมป์ 4 สมัย ครั้งล่าสุดที่เข้าชิงคือปี 2007 และเอาชนะ แมนฯยู ไป 1-0 ปีนี้ผ่านงานเบาทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เซาธ์เอนด์ ยูไนเต็ด, อิปสวิช ทาวน์, วัตฟอร์ด และ โคเวนทรี ซิตี ก่อนจะมาหืดในรอบรองฯ อาร์เซนอล 2-1 แถมนัดชิงดำนี้นักเตะทุกคนคงจะเน้นเป็นพิเศษเพื่อคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นการทิ้งทวนแบบสวยงามของ กุส ฮิดดิงค์ กุนซือชาวดัตช์ ที่จะหมดสัญญาทำงานชั่วคราวกลับไปคุมทีมชาติรัสเซีย ต่อไป
ก่อนเกม ฮิดดิงก์ ออกมาเตือนลูกทีม เชลซี ที่ถือว่าเป็นต่ออยู่ห้ามประมาทเด็ดขาด"ผมได้อยู่ในทีมที่กำลังเล่นนัดชิง เอฟเอ คัพ ทำให้เป็นเกมที่สำคัญมาก แต่ต้องยกเครดิตให้กับ เอฟเวอร์ตัน กับแนวทางการสร้างทีมขึ้นมาจนถึงวันนี้ 2 เกมในลีกฤดูกาลนี้ที่เสมอกับเรา 0-0 แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีและถือเป็นเกมที่เบียดกันมาก และแน่นอนพวกเขาย่อมต้องการสิ่งนั้นในเกมนัดชิงนี้ รวมถึงมีนักเตะความสามารถเฉพาะตัวสูงรายคนที่จะตัดสินเกมนี้ได้"
เชลซี น่าจะนำทัพโดย นิโกลาส์ อเนลกา และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา สองดาวยิงที่ ฮิดดิงก์ จับมาเล่นเข้าขากันจนได้ ระบบอาจจะออกมาเป็น 4-3-3 ส่วนอีกคนที่จะเล่นในแดนหน้าก็คือ ฟลอร็องต์ มาลูดา ปีกซ้ายชาวฝรั่งเศส ที่คืนฟอร์มเก่งอีกครั้ง ส่วนกองกลางจะเป็นหน้าที่ของ แฟรงค์ แลมพาร์ด และ มิคาเอล เอสเซียง อีกคนยังไม่แน่ว่าจะเป็น จอห์น โอบิ มิเกล หรือ มิชาเอล บัลลัค ส่วนกองหลัง แอชลีย์ โคล แบ็กซ้ายจอมบุก จะเล่นนัดชิงเป็นครั้งที่ 6 แล้ว
ถือเป็นนัดชิงที่หินมากสำหรับ เอฟเวอร์ตัน เพราะว่า เชลซี ในยุคของ ฮิดดิงค์ เขี้ยวและเน้นทุกนัดที่ลงสนามจริงๆ ส่วน มอยส์ คงจะจัดทัพ "ท็อฟฟี" ลำบากไม่น้อย เพราะจะแลกก็ไม่กล้าจะลุยเต็มตัว คงต้องอาศัยเน้นรับยื้อและประวิงเวลาไปก่อนอย่าให้เสียประตูเร็วเป็นอันขาด เพื่อรอลุ้นทำประตูจากลูกเซตพีซที่มีทีเด็ดจากลูกโหม่ง แต่สุดท้ายแล้วนักเตะ เชลซี ที่มีประสบการณ์และนิ่งในเกมระดับนี้มากกว่าน่าจะเบียดคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด
ฟันธง ตรงเผง โดย เซียนไก๋ เจริญกรุง
เชลซี ชนะ 2-0
