ปี 2008 ที่ผ่านมานับเป็นปีทองของ โรนัลโด และ ยอโควิช โดยแข้งทองโปรตุกีสได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟา จากผลงานพาทีมปีศาจแดง แมนฯยูไนเต็ด เป็น “ดับเบิลแชมป์” พรีเมียร์ลีก และ ยูฟา แชมเปียนส์ลีก ด้าน "โนเล่" คว้าแชมป์แกรนด์สแลมแรกในชีวิตได้ที่ ออสเตรเลียน โอเพน ก่อนจะได้แชมป์ระดับมาสเตอร์สที่ อินเดียน เวลส์ และโรม ปิดท้ายด้วยถ้วยคริสตัล มาสเตอร์ส คัพ ที่เซี่ยงไฮ้ช่วงปลายปี
แต่ตลอดห้วงแห่งความสำเร็จของทั้งคู่กลับปรากฏภาพแฟนฟุตบอลและเทนนิสบางส่วนตั้งออกอาการหมั่นไส้แถมยังคอยตามโห่ไล่อยู่เกือบทุกแมตช์การแข่งขัน นับเป็นความเหมือนในด้านลบที่นักกีฬาจากสองวงการบังเอิญคล้องกันอย่างน่าตกใจ และในความบังเอิญดังกล่าวนี้ โพโลมี บาซู (Poulomee Basu) คอลัมนิสต์จากเว็บไซต์ บลีเชอร์ รีพอร์ต (Bleacher Report) ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างสนใจ
1.ปากไวกว่าสมอง
โรนัลโด ในวัย 24 ปีถูกยกให้เป็นนักเตะ "พรสวรรค์" แต่อาการ "ยโสโอหัง" ผ่านการให้สัมภาษณ์แบบไม่เกรงใจใครหลายครั้งทำให้ ลูกรักของเซอร์อเล็กซ์ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อย ดังเช่นช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา โรนัลโด ออกมาชูตนเองเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลก โดยใช้คำพูดว่า “นักเตะที่เก่งที่สุดในโลก 3 คนแรกชื่อ โรนัลโด โรนัลโด และ โรนัลโด” อีกทั้งยังแสดงความปรารถนาย้ายไปเล่นให้กับ รีล มาดริด แต่ต้นสังกัดรั้งตัวไว้ทำให้หนูโด้ ออกมาเหวี่ยงอีกครั้งว่าตนเองเป็น "ทาสฟุตบอล" คำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวสะเทือนใจแฟนปีศาจแดงเป็นอย่างยิ่ง
ด้าน ยอโควิช วัย 21 ปียกระดับขึ้นมาเป็นนักเทนนิสแถวหน้าได้ไม่ถึง 2 ปีก็กล้าออกมาให้สัมภาษณ์อหังการหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการออกมาติงการเสนอข่าวของสื่อมวลชนว่า "สำนักข่าวทั่วโลกให้ความสำคัญแต่ โรเจอร์ เฟเดอรอร์ และ ราฟาเอล นาดาล ทั้งที่จริงๆแล้วควรจะเขียนข่าวถึงผมซึ่งเป็นแชมป์ออสเตรเลียน โอเพน ให้มากกว่านี้" ยิ่งไปกว่านั้นยังเผยหลังคว้าแชมป์ มาสเตอร์ส คัพ เมื่อ 5 เดือนที่แล้วว่า "รู้สึกเฉยๆเพราะเริ่มชินกับชัยชนะแล้ว"
2.เปิดศึกกับกองเชียร์-เอาเปรียบคู่ต่อสู้?
ย้อนกลับไปในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมนี โรนัลโด มีส่วนโน้มน้าวผู้ตัดสิน โฮราซิโอ เอลิซอนโด ชาวอาร์เจนตินาให้ไล่ เวยน์ รูนีย์ ศูนย์หน้าทีมชาติอังกฤษที่ทำฟาวล์ น่าเกลียดใส่ ริคาร์โด คาวัญโญ กองหลังโปรตุเกส ออกจากสนามพร้อมกับออกอาการเย้ยดาวยิงเพื่อนร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด จนทำให้เกิดวิวาทะของทั้งคู่ตามมาหลังจบการแข่งขัน และที่สำคัญเห็นจะเป็นผลการแข่งขันในเกมดังกล่าวซึ่งส่งให้ ทีมสิงโตคำรามตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก
ทางด้าน ยอโควิช ก็ใช่ย่อยเพราะตั้งตนเป็นศัตรูกับแฟนเทนนิสอเมริกันด้วยพฤติกรรมเกินรับหลังเอาชนะ แอนดี้ ร็อดดิก ในรอบ 8 คนสุดท้ายของการแข่งขัน ยูเอส โอเพ่นเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเจ้าตัวได้ออกมาให้สัมภาษณ์แสดงอาการสะใจที่เอาชนะขวัญใจเจ้าถิ่นได้ทั้งที่ถูกกองเชียร์รุมโห่ตลอดแมตช์จากกรณีเรียกแพทย์มาดูอาการหลายครั้ง
3.ตบตากรรมการ-เอาเปรียบคู่ต่อสู้
ยอโควิช ถูกวิจารณ์ว่าชอบแกล้งเจ็บโดยเฉพาะตอนกำลังเพลี่ยงพล้ำ เทคนิคที่นำมาใช้เป็นประจำคือขอผ้าเช็ดหน้า เคาะบอลนับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงเรียกแพทย์สนามเข้ามาดูอาการบาดเจ็บ หลายคนประชดว่าจอมหวดเลือดเซิร์บเป็นพวกอมโรค บ้างก็หายใจไม่ออก บ้างเจ็บหน้าอก หลายครั้งกลัวร้อน เป็นตะคริว รวมถึงเจ็บสะโพก ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลให้ชีวิตนักเทนนิสของ ยอโควิช ไม่สง่างามเท่ากับคู่เเข่งอย่าง โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ราฟาเอล นาดาล หรือแม้กระทั่ง แอนดี เมอร์เรย์
ในส่วนของ โรนัลโด แม้จะไม่ถูกกล่าวหาว่าแกล้งเจ็บ แต่หลายครั้งในการแข่งขันที่เขาถูกวิจารร์ว่าล้มง่ายเกินไปโดยเฉพาะในพื้นที่ล่อแหลมอันหมายถึงจุดโทษหรือฟรีคิก ล่าสุด “โฮเซ มูรินโญ่” อดีตนายใหญ่ เชลซี ได้กล่าวถึงโรนัลโด้ไว้ว่า “นี่คือหนึ่งในนักเตะจอมพุ่งแถวหน้าของ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ" ขณะที่ข้อมูลของเดอะซัน สนับสนุนว่า บรรดาเยาวชนในเกาะอังกฤษโหวตให้ โรนัลโด เป็นนักเตะที่พุ่งล้มมากที่สุดพร้อมย้ำอีกว่าเด็กที่ ติดตามการแข่งขันนั้นกว่า 96 เปอร์เซ็นต์นั้นเกลียดพฤติกรรมดังกล่าวเป็นอย่างมาก
นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่ผลการสำรวจความคิดเห็นของเยาวชนผู้เฝ้าติดตามการแข่งขันนั้นไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรม “แบดบอย” ดังกล่าว เพราะถ้าผลออกมาในทางกลับกันเห็นทีว่าวัฒนธรรมของนักกีฬารุ่นใหม่จะกลายเป็นเรื่องของคนที่สามารถทำได้ทุกสิ่งโดยไม่สนใจวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จและอาจทำให้คำว่า “น้ำใจนักกีฬา” กลายเป็นของแปลกสำหรับวงการในอนาคตไปเลยก็ได้