ความฝันเข้าถึงรอบเวิลด์ กรุ๊ป เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีมไทยได้หลุดลอยไปอีกครั้งหลังจาก กิตติพงษ์ วชิรมโนวงศ์ แพ้ให้กับ คริส กุชชิโอเน ในเกมตัดสินชี้ขาดส่งไทยพ่ายออสเตรเลียในวันสุดท้ายของการแข่งขัน เดวิส คัพ 2009 โซนเอเชีย/โอเชียเนีย กลุ่ม 1 รอบ 2 นับเป็นผลการแข่งขันที่น่าเสียดายแต่ไม่ควรเสียใจ
ผลงานครั้งนี้ ทีมหวดสยามสามารถยกระดับผลงานจนขึ้นมาเบียดกับทีมแกร่งระดับโลกได้อย่างสูสี โดยพระเอกของงานเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ดนัย อุดมโชค ที่ล้ม เลย์ตัน ฮิววิตต์ อดีตมือ 1 โลก ได้อย่างสะใจคนไทย ขณะที่เดี่ยวมือ 2 อย่าง กิตติพงษ์ แม้แพ้ 2 แมตช์รวดแต่มีแววอนาคตสดใสเพราะตอนนี้อายุแค่ 19 ปี ด้าน "แฝดรติวัฒน์" พ่ายนักเทนนิสชายคู่จากทีมออสซีแค่ลูกเสิร์ฟ ซึ่งเมื่อนำมาประมวลรวมกับโอกาสคืนสนามช่วยทีมชาติของ "ซูเปอร์บอล" ภราดร ศรีชาพันธุ์ เชื่อแน่ว่าความฝันที่จะเห็น “เดวิสคัพไทยในเวิลด์กรุ๊ป” อาจเป็นจริงได้ในปีหรือสองปีข้างหน้านี้
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทีมเดวิส คัพ ไทย เปิดเซนเตอร์ คอร์ต ศูนย์พัฒนาเทนนิสแห่งชาติเมืองทองธานี ต้อนรับ "แชมป์เก่า 28 สมัย" ออสเตรเลีย ซึ่งแค่ชื่อชั้นเจ้าภาพอย่างไทยก็เป็นรองสุดกู่แถมสถานการณ์ย่ำแย่มาก ขึ้นเมื่อ "คู่แฝดมหัศจรรย์" สนฉัตร - สรรค์ชัย รติวัฒน์ พ่ายให้กับ คาร์สเทน บอล และ คริส กุชชิโอเน ในวันเสาร์ซึ่งเป็นวันที่ 2 ของการแข่งขันจนไทยถูกนำ 1-2 คู่ ทว่าเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นในวันสุดท้ายเมื่อ "เจ้าปิ๊ก" ดนัย อุดมโชค พลิกจากตามหลัง 0-2 เซตกลับมาชนะ เลย์ตัน ฮิววิตต์ อดีตมือ 1 ของโลกใน 5 เซตทำให้ไทยตีเสมอทีมจิงโจ้ 2-2 ต้องมาตัดสินแพ้-ชนะที่ประเภทเดี่ยวคู่สุดท้าย
ด้วยคทรัพยากรผู้เล่นค่อนข้างจำกัดทำให้ทีมไทยต้องส่ง กิตติพงษ์ หนุ่มสงขลาวัย 19 ปีที่เพิ่งติดทีมเป็นครั้งที่ 2 ลงไปโดน “ยักษ์กุชชี” คริส กุชชิโอเน ถล่มขาดลอย 3 เซตรวดทำให้ไทยแพ้ไปอย่างน่าเสียดาย 2-3 คู่ตกไปเล่นเพลย์ออฟรักษาสถานภาพในโซน เอเชีย/โอชียเนีย กลุ่ม 1 ส่วน ออสเตรเลีย ผ่านเข้ารอบ 3 ไปพบกับ อินเดีย แย่งตั๋ว เพลย์ออฟ เข้า เวิลด์ กรุป ต่อไปในปีหน้า
หากเปรียบเทียบขุมกำลังและสถิติครั้งแรกที่พบกันเมื่อปีกลายซึ่ง ออสซี เปิดบ้าน ถล่มไทย เละเทะถึง 5-0 มาคราวนี้แพ้เฉียดฉิวก็นับว่าน่าพอใจมากแล้วในความเห็นของ "กัปตันเบิ้ม" ธนากร ศรีชาพันธุ์ ผู้รับภาระในการวางแผนจัดตัวผู้เล่น "การเปลี่ยนผลการแข่งขันจากแพ้ออสเตรเลีย 0-5 มาแพ้ 2-3 ภายในเวลาปีเดียวถือว่ายอดเยี่ยมมากสำหรับวงการเทนนิสไทย มือ 1 ของเราอย่าง ดนัย สามารถพลิกชนะ ฮิววิตต์ ได้ ส่วน กิตติพงษ์ พัฒนาฟอร์มขึ้นมามาก ด้านคู่แฝดมีจิตใจรักชาติน่าชมเชย ที่แพ้ออสเตรเลียก็แค่ลูกเสิร์ฟเป็นรอง ซึ่งเมื่อนำทั้งหมดมาพิจารณาเเล้วจะเห็นว่าทีมไทยของเรามาถูกทางขอแค่รอเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น"
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น สนฉัตร - สรรค์ชัย มือ 148 และ 150 ของโลกในประเภทคู่เป็นความหวังสูงสุดที่จะเก็บ 1 แต้มให้ทีมไทย ทว่าเมื่อลงไปแข่งจริงแล้วต้องปะทะกับ กุชชิโอเน และ บอล ซึ่งล้วนถนัดมือซ้ายและมีลูกเสิร์ฟหนักหน่วงอีกทั้งฟอร์มกำลังยอดเยี่ยมเพิ่งผ่านเข้ารอบ 3 ชายคู่ออสเตรเลียน โอเพนเมื่อ 2 เดือนก่อนหน้านี้ แฝดไทย จึงต้องพ่ายแพ้ไป 3 เซตรวด โดยแมตช์นี้ ฝั่งออสซีกดลูกเสิร์ฟเอซรวมกันถึง 15 ครั้งแถมลูกเสิร์ฟที่ 2 ความเร็วยังอยู่ในระดับ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป(เร็วพอๆกับเสิร์ฟแรกของนักเทนนิสส่วนใหญ่) แม้คู่แฝดมีโอกาสเบรกเสิร์ฟ 4 ครั้งแต่ก็ไม่สามารถคว้าไว้ได้เลย
หลังจบการแข่งขัน สนฉัตร - สรรค์ชัย รติวัฒน์ แชมป์ชายคู่เอทีพี ทัวร์ 2 รายการถึงกับประสานเสียงยอมรับว่า "พวกผมเเทบไม่รู้ว่าต้องตีบอลไปทางไหนเวลาคู่ต่อสู่คนหนึ่งเสิร์ฟอัดมาแรงๆ ส่วนอีกคนซึ่งรูปร่างสูงใหญ่ไม่แพ้กันดักตะปบที่หน้าเน็ต ขอยอมรับว่ายังมีปัญหากับการพบคู่ต่อสู้ที่เสิร์ฟแม่นยำและหนักหน่วง คงต้องเก็บประสบการณ์จากแมทช์นี้ไปพัฒนาตนเองต่อไป"
ด้าน “เจ้าปิ๊ก” ดนัย มือ 1 ของไทยวัย 28 ปี ออกมากล่าวถึงความประทับใจในเดวิส คัพ ครั้งนี้ว่า “หากนับผลงานเฉพาะตัวคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการชนะ 2 นัดรวด (ชนะ ไบรดาน ไคลน์ 3-0 เซต ,ชนะฮิววิตต์ 3-2 เซต) โดยเฉพาะแมตช์ที่ 2 ซึ่งต้องลงแข่งกับ ฮิววิตต์ ในสภาวะกดดันแพ้ไม่ได้ แถมโดนนำไปถึง 2-0 เซตแต่ยังพลิกกลับมาชนะใน 5 เซต”
สำหรับก้าวต่อไปของทีมไทย ดนัย วิเคราะห์ทิ้งท้ายไว้อย่างน่าสนใจว่า “การเล่นกับทีมระดับโลกอย่างออสเตรเลียได้อย่างสูสีเป็นตัวบ่งชี้ว่าทีมเรามีคุณภาพจะไปถึงรอบเพลย์ออฟ เวิลด์ กรุปได้อีกเป็นครั้งที่ 4 หรือแม้แต่จะทะลุเข้าไปเล่นเวิลด์ กรุ๊ปก็ยังมีโอกาส หากแต่ยังต้องรอเวลาให้ดาวรุ่งอย่าง กิตติพงษ์ พัฒนาฝีมือและเพิ่มพูนประสบการณ์ให้มากกว่านี้เพื่อที่เราจะได้มีลุ้นเก็บแต้มประเภทเดี่ยวมากขึ้น หรืออีกทางคือขอให้พี่บอล ภราดร กลับมาช่วยทีมเพราะอย่างไรพี่เขาก็เป็นนักเทนนิสระดับโลกซึ่งมีสถิติในเดวิส คัพ ดีที่สุดของไทย (ชนะ 31 แพ้ 10) ทั้งชื่อเสียงและฝีมือสามารถข่มคู่ต่อสู้อย่างได้ผลและเมื่อวันที่ทีมชาติไทยสมบูรณ์พร้อมผลงานที่เห็นจะต้องดีกว่าที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”