สมาพันธ์เทนนิสอาชีพหญิง (ดับเบิลยูทีเอ) แสดงความพอใจที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อนุมัติวีซ่าให้กับ แอนดี แรม นักหวดหนุ่มชาวอิสราเอล จนออกมาประกาศว่าอาจไม่สั่งยุบรายการบาร์เคลย์ส ดูไบ เทนนิส แชมเปียนชิปส์ ในปีหน้า
ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง หลังจากไม่ออกวีซ่าให้ ชาฮาร์ เพียร์ แร็กเกตสาวอิสราเอลเดินทางเข้ายูเออี จนไม่สามารถลงแข่งขันได้ แม้ฝ่ายจัดจะชี้แจงว่าทำไปเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของนักเทนนิสวัย 21 ปี ซึ่งอาจตกเป็นเป้าหมายของชาวอาหรับที่ไม่พอใจ อิสราเอล เป็นทุนเดิมจากการบุกโจมตี ปาเลสไตน์ แต่ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ยุโรป ก็จัดการถอนเงินสนับสนุนรายการนี้ไปแล้ว ส่วน เทนนิส แชนเเนล โทรทัศน์แม่ข่ายชื่อดังของสหรัฐฯได้ออกมาประกาศงดถ่ายทอดเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มร่มยิว (The Jewish umbrella group) และ องค์กรมหาสมาคมชาวยิวในอเมริกา (Major American Jewish Organizations) ได้ออกมาเรียกร้องให้ ลาร์รี สกอตต์ ประธานบริหารของดับเบิลยูทีเอ ยกเลิกการแข่งขันบาร์เคลย์ส ดูไบ เทนนิส แชมเปียนชิปส์ในปีหน้าด้วย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตึงเครียดก็ได้รับการคลี่คลาย เมื่อยูเออีตัดสินใจออกวีซ่าให้ แอนดี แรม นักหวดประเภทชายคู่วัย 28 ปีชาวอิสราเอลที่จองตั๋วเครื่องบินเตรียมเดินทางมายังดูไบในวันอาทิตย์นี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง แรม ออกมาให้สัมภาษณ์หลังได้รับข่าวดีนี้ว่า “ผมดีใจที่ ยูเออี ยืนยันว่าผมสามารถเดินทางเข้าประเทศเพื่อลงแข่งรายการดูไบ โอเพน ได้ ผมขอขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ เป้าหมายของผมในตอนนี้คือการลงเล่นเทนนิส และทำผลงานในสนามให้ดีที่สุดตามศักยภาพของตัวผม”
ขณะที่ ชาฮาร์ เพียร์ ซึ่งตกเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรงในกรณีนี้ได้ออกมาลดอุณหภูมิให้เย็นลงด้วยการประกาศว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นความโชคร้ายที่เกิดจากการตัดสินใจของฝ่ายจัดการแข่งขันและยูเออี การลงเล่นที่ดูไบในปีนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจพอสมควร แต่ฉันคิดว่าจะยังลงแข่งขันที่ดูไบต่อไปในปีหน้า”
ด้าน ลาร์รี สกอตต์ ซีอีโอของดับเบิลยูทีเอก็ออกแถลงหลังทราบการตัดสินใจจากทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่า “เรายอมรับถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ ยูเออี ที่อนุญาตให้ แอนดี แรม ลงแข่งขันในสัปดาห์หน้าได้ และนี่ก็เป็นการบ่งบอกให้เห็นว่านักกีฬาชาวอิสราเอลสามารถลงเล่นในรายการที่ยูเออีได้ในอนาคต”
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ชาฮาร์ เพียร์ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่น่าอับอายและยอมรับไม่ได้ ซึ่งในเบื้องต้นเราได้หาทางเยียวยาบาดแผลของเธอด้วยการเตือนว่าอาจสั่งยุบการแข่งขัน แต่ในเมื่อเราได้รับการยืนยันว่านักกีฬาชาวอิสราเอลทุกคนสามารถเดินทางเข้าประเทศยูเออีได้ ดังนั้น รายการต่างๆ ที่จัดขึ้นที่นั่นจึงยังคงอยู่ต่อไป”
ทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง หลังจากไม่ออกวีซ่าให้ ชาฮาร์ เพียร์ แร็กเกตสาวอิสราเอลเดินทางเข้ายูเออี จนไม่สามารถลงแข่งขันได้ แม้ฝ่ายจัดจะชี้แจงว่าทำไปเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของนักเทนนิสวัย 21 ปี ซึ่งอาจตกเป็นเป้าหมายของชาวอาหรับที่ไม่พอใจ อิสราเอล เป็นทุนเดิมจากการบุกโจมตี ปาเลสไตน์ แต่ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล ยุโรป ก็จัดการถอนเงินสนับสนุนรายการนี้ไปแล้ว ส่วน เทนนิส แชนเเนล โทรทัศน์แม่ข่ายชื่อดังของสหรัฐฯได้ออกมาประกาศงดถ่ายทอดเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มร่มยิว (The Jewish umbrella group) และ องค์กรมหาสมาคมชาวยิวในอเมริกา (Major American Jewish Organizations) ได้ออกมาเรียกร้องให้ ลาร์รี สกอตต์ ประธานบริหารของดับเบิลยูทีเอ ยกเลิกการแข่งขันบาร์เคลย์ส ดูไบ เทนนิส แชมเปียนชิปส์ในปีหน้าด้วย
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตึงเครียดก็ได้รับการคลี่คลาย เมื่อยูเออีตัดสินใจออกวีซ่าให้ แอนดี แรม นักหวดประเภทชายคู่วัย 28 ปีชาวอิสราเอลที่จองตั๋วเครื่องบินเตรียมเดินทางมายังดูไบในวันอาทิตย์นี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง แรม ออกมาให้สัมภาษณ์หลังได้รับข่าวดีนี้ว่า “ผมดีใจที่ ยูเออี ยืนยันว่าผมสามารถเดินทางเข้าประเทศเพื่อลงแข่งรายการดูไบ โอเพน ได้ ผมขอขอบคุณทุกคนที่ให้การสนับสนุนในครั้งนี้ เป้าหมายของผมในตอนนี้คือการลงเล่นเทนนิส และทำผลงานในสนามให้ดีที่สุดตามศักยภาพของตัวผม”
ขณะที่ ชาฮาร์ เพียร์ ซึ่งตกเป็นผู้เสียประโยชน์โดยตรงในกรณีนี้ได้ออกมาลดอุณหภูมิให้เย็นลงด้วยการประกาศว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันเป็นความโชคร้ายที่เกิดจากการตัดสินใจของฝ่ายจัดการแข่งขันและยูเออี การลงเล่นที่ดูไบในปีนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจพอสมควร แต่ฉันคิดว่าจะยังลงแข่งขันที่ดูไบต่อไปในปีหน้า”
ด้าน ลาร์รี สกอตต์ ซีอีโอของดับเบิลยูทีเอก็ออกแถลงหลังทราบการตัดสินใจจากทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ว่า “เรายอมรับถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ ยูเออี ที่อนุญาตให้ แอนดี แรม ลงแข่งขันในสัปดาห์หน้าได้ และนี่ก็เป็นการบ่งบอกให้เห็นว่านักกีฬาชาวอิสราเอลสามารถลงเล่นในรายการที่ยูเออีได้ในอนาคต”
“สิ่งที่เกิดขึ้นกับ ชาฮาร์ เพียร์ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติที่น่าอับอายและยอมรับไม่ได้ ซึ่งในเบื้องต้นเราได้หาทางเยียวยาบาดแผลของเธอด้วยการเตือนว่าอาจสั่งยุบการแข่งขัน แต่ในเมื่อเราได้รับการยืนยันว่านักกีฬาชาวอิสราเอลทุกคนสามารถเดินทางเข้าประเทศยูเออีได้ ดังนั้น รายการต่างๆ ที่จัดขึ้นที่นั่นจึงยังคงอยู่ต่อไป”