ทันทีที่ภาพข่าวขณะสูบกัญชาของ ไมเคิล เฟลป์ส ฉลามหนุ่มชาวอเมริกันถูกเผยแพร่ตามสื่อทั่วโลก ปฏิกิริยาจากสาธารณชนส่วนใหญ่ล้วนแสดงออกถึงความผิดหวังเพราะต่างคิดว่านักว่ายน้ำหนุ่มเจ้าของสถิติ 8 เหรียญทองโอลิมปิกสมควรประพฤติตนเป็นแบบอย่างอันดีต่อเยาวชนมากกว่าจะควบคุมตนเองไม่ได้ในงานปาร์ตี้จนเกิดเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตจนถูกแบนจากการแข่งขันถึงสามเดือนเต็ม
ด้วยความที่สังคมตั้งมาตรฐานกับบรรดาสุดยอดนักกีฬา ให้เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษ และทำให้เหล่าสตาร์ดังมีต้นทุนทางสังคมสูงยิ่งซึ่งกลายเป็นภาพลักษณ์ที่บรรดานักกีฬาทั้งหลายได้รับผลตอบแทนกลับคืนมาด้วยตัวเลขมหาศาลจากสปอนเซอร์ แต่ถึงแม้ผลตอบแทนจะคุ้มค่าหากสิ่งหนึ่งที่นักกีฬาดังทั้งหลายต้องพึงระวังเพราะมาตรฐานที่สูงลิบในฐานะผู้มีชื่อเสียงจากการแข่งขันนั้น มูลค่าที่แฟนกีฬาตั้งให้นั้นจึงขาวกว่าความเป็นจริง หากพลาดแม้แต่เพียงครั้งเดียวเสียงชื่นชมอื้ออึงที่เคยมีอาจพลิกกลับขั้วจนเจ้าตัวแทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยทีเดียว
ในกรณีของ ไมเคิล เฟลป์ส นั้นก้าวถึงจุดสูงสุดของชีวิตหลังจากคว้า 8 เหรียญทองจากปักกิ่ง เกมส์ ซึ่งมากที่สุดจากการลงแข่งเพียงคราวเดียว พร้อมกันนี้ยังเป็นเจ้าของสถิติโลกอีก 7 รายการ แต่เมื่อภาพข่าวที่ตัวเขาใส่เสื้อยืดสีขาวพร้อมสวมหมวกและก้มลงสูบกัญชาจากอุปกรณ์คล้ายท่อแก้วเผยแพร่ออกมา ความรุ่งโรจน์ของชีวิตมีอันต้องสะดุดลงไป จนภายหลังฉลามหนุ่มจากบัลติมอร์ต้องออกมาสารภาพผิดและกล่าวขอโทษต่อพฤติกรรมที่ไม่ดีข้างต้น
"ผมประสบความสำเร็จอย่างมากมายในสระว่ายน้ำด้วยวัยเพียง 23 ปี แต่กลับกระทำสิ่งอันน่าละอาย มันเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมของคนที่ไม่รู้จักโตเป็นผู้ใหญ่ ผมขอโทษจากใจจริงและสัญญาว่าจะไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีก" เฟลป์ส กล่าวสำนึกผิดและแสดงความรับผิดชอบเพิ่มเติมด้วยการเปรยว่าอาจตัดสินใจหยุดพักการแข่งระยะหนึ่งซึ่งอาจรวมถึงการถอนตัวจาก ลอนดอน เกมส์ ในปี 2012 นอกเหนือจากนี้บรรดาสปอนเซอร์สินค้าที่ฉลามหนุ่มเป็นพรีเซนเตอร์อยู่ก็กำลังพิจารณาจะไม่ต่อสัญญาออกไป แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือความอื้อฉาวครั้งนี้จะเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต
ขณะที่สุดยอดนักว่ายน้ำอีกคนอย่าง เอียน ธอร์ป ชาวออสเตรเลีย สร้างชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่อายุ 14 ปีด้วยการเป็นแชมป์โลกอายุน้อยที่สุดจากว่ายน้ำฟรีสไตล์ 400 เมตรในปี 1998 หลังจากนั้นก็ประสบความสำเร็จอีกอย่างมากมายทั้งการทำสถิติคว้าแชมป์โลกได้ถึง 11 รายการ การคว้าเหรียญทองโอลิมปิกรวม 5 เหรียญที่ประเทศบ้านเกิดเมื่อปี 2000 และอีกสี่ปีต่อมาที่ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ รวมถึงยังเป็นเจ้าของสถิตโลกในประเภทสระยาวอีกถึง 13 รายการ ก่อนจะประกาศอำลาสระอย่างช็อกวงการเมื่อปลายปี 2006 ด้วยวัยเพียง 24 ปี
แต่ช่วงท้ายของการเป็นกีฬานักว่ายน้ำนี้เองที่ "ธอร์ปิโด" แปดเปื้อนมลทินเกี่ยวกับการใช้สารกระตุ้น หลังจากหนังสือพิมพ์กีฬาชื่อดังของประเทศฝรั่งเศสเปิดเผยว่าพบฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนอยู่ในปัสสาวะของเขา ข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้นถูกองค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของออสเตรเลีย (The Australian Sports Anti-Doping Authority : ASADA) นำมาสอบสวน แต่ความเคลือบแคลงสงสัยของคนทั่วไปก็เกิดขึ้นแล้วแม้ว่าสุดท้ายเมื่อปี 2007 ผลการสอบจะออกมาว่าฉลามหนุ่มวัย 24 ปีปราศจากความผิด แต่บางครั้งความทรงจำที่ไม่ดีก็ยากจะลืมเลือนลงไปง่ายๆ
ซูเปอร์สตาร์อีกคนที่พัวพันกับเรื่องอื้อฉาวจนต้องสูญเสียอนาคตไปคือ จัสติน แกตลิน ยอดนักกรีฑาชาวสหรัฐฯ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิ่งที่เร็วที่สุดอีกคนในโลก ความสำเร็จสูงสุดของเขาคือการคว้าเหรียญทองวิ่ง 100 เมตรชายจากกีฬาโอลิมปิก ประเทศกรีซ เมื่อปี 2004 แต่ชีวิตต้องมาพลิกผันไปในอีกสองปีต่อมาเมื่อลมกรดวัย 26 ปี ถูกตรวจพบจากองค์กรต่อต้านการใช้สารกระตุ้นของสหรัฐฯ ( United States Anti-Doping Agency : USADA) ว่ามีการโด๊ปยาซึ่งเป็นสารประเภทเทสโทสเทอโรน โดยเจ้าตัวปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่รู้ไม่เห็นต่อการกระทำดังกล่าวเนื่องจากเป็นการดำเนินการเองของโค้ชและทีมแพทย์ แต่การชี้แจงก็ไม่เป็นผลและถูกสั่งแบนเป็นเวลา 8 ปี อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาเคยได้รับความผิดพลาดจากการตรวจสอบของ WADA มาก่อนในปี 2001 เกี่ยวกับการใช้ยารักษาโรคสมาธิสั้น ทำให้ต่อมาเมื่อมีการยื่นอุทธรณ์จึงได้รับการพิจารณาลดโทษลงมาเหลือเพียง 4 ปี
การถูกลงโทษห้ามแข่งของ แกตลิน จะสิ้นสุดลงในปี 2010 แม้ว่าเขามีโอกาสจะกลับเข้ามาสู่วงการกรีฑาอีกครั้ง แต่ด้วยตัวเลขของอายุที่มากขึ้นรวมถึงพละกำลังที่น่าจะถดถอยลงไปจึงไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถกลับมาทำผลงานสุดเหมือนเดิมอีกครั้งและมันก็เป็นการแสดงให้เห็นอีกครั้งว่าเราต้องสูญเสียนักกีฬาฝีมือเยี่ยมไปเนื่องจากการใช้ชีวิตอย่างไม่ระมัดระวังอย่างน่าเสียดาย
ทั้ง ไมเคิล เฟลป์ส เอียน ธอร์ป และ จัสติน แกตลิน นั้นเป็นเพียงแค่ 3 ตัวอย่างที่อนาคตแทบดับวูบหลังจากไม่สามารถดึงตนเองออกจากมายาแห่งชื่อเสียงได้ ทันทีที่พวกเขาติดกับดักผลที่เกิดขึ้นตามมาได้ทำให้ชีวิตนักกีฬาที่เคยเต็มไปด้วยเกียรติยศ ต้องกลายเป็นจำเลยสังคม เพียงแค่ชั่วข้ามคืน