ความเคลื่อนไหวของนักฟุตบอลทีมชาติไทยในช่วงก่อนถึงวันหยุดลองวีคเอนด์ ที่แฟนลูกหนังหลายคนต้องสะดุดหยุดสดับฟังเห็นจะมีอยู่ด้วยกันสองเรื่อง ชิ้นแรกคือบทสัมภาษณ์ปีเตอร์ รีด กุนซือทีมชาติไทยระหว่างคุมทีมไปเตะอุ่นเครื่องกับทีมชาติซาอุ ที่เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่นผ่านทางสื่อต่างประเทศอย่างรอยเตอร์ โดยอดีตดาวดังแห่งทีมเอฟเวอร์ตัน ได้กล่าวกับสื่อนอกว่านักเตะไทยว่ามีแทคติกดีหากแต่ขาดระเบียบวินัย และหลังจากบทสัมภาษณ์ของรีด ถูกติพิมพ์เพียงแค่ข้ามคืนมือขวาของโค้ชทีมชาติไทย “สตีฟ ดาร์บี” ก็ได้ออกมาให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของออสเตรเลียอย่าง “ซิดนีย์ มอร์นิง เฮราลด์” ว่านักเตะไทยฝีเท้าดีและคนที่สโมสรฟุตบอลในแดนจิงโจ้ ควรให้ความสนใจคือ “ดัสกร ทองเหลา”
บทสัมภาษณ์ของ “ปีเตอร์ รีด” และ “สตีฟ ดาร์บี” ในข้างต้นเหมือนจะให้มูลค่ากับนักฟุตบอลไทยอยู่ไม่น้อย หากแต่ทำไมจนถึงวันนี้บอลไทยยังไม่สามารถไขว่คว้าความสำเร็จมาครองได้และผลงานปัจจุบันก็เป็นได้เพียงแค่พระรองในสองศึกลูกหนังสำคัญในช่วงคาบเกี่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ผ่านมา หลังทีม “ช้างศึก” ถูก เวียดนาม กระชากแชมป์อาเซียน คัพ 2008 ถึงถิ่นเป็นผลงานที่ย้ำจุดเจ็บเมื่อครั้งพ่ายให้กับสิงค์โปร์ในรายการเดียวกันนี้เมื่อครั้งก่อน
อีกหนึ่งนัดที่ก่อนลงสนามแฟนลูกหนังตั้งความหวังไว้ว่านักฟุตบอลไทยและ ปีเตอร์ รีด น่าจะรดน้ำลงบนหัวใจที่แห้งผากได้บ้าง ในศึกคิงส์ คัพ ครั้งที่ 39 ณ จังหวัดภูเก็ตหากแต่วีรกรรมที่เรียกว่า “งามหน้า” หลังนักฟุตบอลไทยเปิดเกมมวยหมู่แทนเกมลูกหนังทำให้ผลงานที่ได้แค่ตำแหน่งรองแชมป์หลังแพ้เดนมาร์ก แทบจะหมดความหมาย
สองเหตุการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกันทำให้แฟนลูกหนังไทยส่วนหนึ่งถึงส่ายหน้ากับผลงานที่ยังไม่คืบหน้าของทีมรัก และปัญหาเดิมที่แม้แต่ผู้จัดการทีมระดับพรีเมียร์ลีกยังไม่สามารถแก้ไขได้คือ การจบสกอร์สุดท้ายของกองหน้า แผงหลังที่ขาดสมาธิในเกมรับจนเสียประตูแบบไม่น่าเสีย และปัญหาสุดท้ายที่สำคัญที่สุดหากแต่ได้เห็นบ่อยที่สุดจากนักฟุตบอลไทยคือ การควบคุมอารมณ์
มีคำกล่าวว่า “คนเราต้องรู้จักเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ หากแต่อย่าแพ้จนชิน” ถึงเวลานี้แฟนบอลไทยหลายคนเกิดอาการชินกับฟุตบอลทีมชาติจนมีบางส่วนเลิกหวังพร้อมกับคำพูดเหน็บแนมตามมาว่า “เชียร์บอลไทยไปมวยโลกยังจะง่ายกว่า” แต่ถึงแม้ศรัทธาบางส่วนจะเริ่มจากหายไปหากยังมีกองเชียร์อีกหลายกลุ่มที่พร้อมประกาศว่าบอลไทยอยู่ในสายเลือด ดังเช่น พินิจ งามพริ้ง ประธานชมรมเชียร์ไทย (Cheerthai Power) ลั่นวาจาออกมาว่า “ทีมชาติไทยถือว่าคนไทยเป็นเจ้าของ ถ้าเจ้าของไม่ไปเชียร์แล้วใครจะตามไปเชียร์ ต่อให้แพ้อีกกี่ครั้งผมก็ยังจะเข้าไปเชียร์ในสนามอยู่ดี และหวังว่าพี่น้องชาวไทยจะให้การสนับสนุนต่อไป”
เช่นเดียวกับ ชัยพล ทองโสภา ตัวแทนกลุ่ม “คนรักบอลไทย” ที่กล่าวถึงการควบคุมของนักฟุตบอลไทยว่า “เวลาลงสนามต้องทำหน้าที่นักกีฬาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะทีมชาติเรื่องอารมณ์ควรจะระงับให้ได้ อย่าให้น่าเกลียดเกินไป เราเชียร์ไทยแท้ๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ควรทำเลย” ส่วนผลงานที่ไม่ค่อยจะสวยหรูนับของทีมชาตินั้น ชัยพล กล่าวอย่างให้ข้อคิดว่า “ผลจะออกมาแพ้หรือชนะเราไม่ว่า เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของเกมกีฬา แต่ตลอด 90 นาทีผมกับเพื่อนๆ ในกลุ่มกว่า 30 คนจะเชียร์แบบไม่หยุด และจะเชียร์ทีมไทยตลอดไปจนกว่าร่างกายจะไปไม่ไหวเราทำกันด้วยใจเพราะอยากเห็นบอลไทยพัฒนา”
แม้ว่าผลงานในสองทัวร์นาเม้นท์แรกจะไปไม่ถึงแชมป์ หากแต่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งกับผลงานครั้งสำคัญเมื่อทีมชาติไทยต้องลงดวลแข้งกับ อิหร่าน ในศึกเอเชียน คัพ 2011 รอบคัดเลือก กลุ่ม อี นัดที่ 2 เมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา โดยผลการลงสนามในนัดดังกล่าวแม้ขุนพลลูกหนังไทยจะไม่ถึงชนะกับทีมระดับเกรดเอ หากสกอร์ที่ยันเสมอได้ 0-0 ทั้งที่ก่อนหน้าถูก อาลี ดาอี หัวหน้าสต๊าฟโค้ชของอิหร่านปรามาสว่าเป็นแค่ทีมทางผ่าน และนัดดังกล่าวเหล่าแฟนพันธุ์แท้ลูกหนังไทยที่เป็นสักขีพยานแห่งความสำเร็จเกือบเต็มความจุสนามราชมังคลากีฬาสถาน ก็ได้ประจักษ์แก่สายตาแล้วว่า ทีมชาติไทยนั้นหากมุ่งมั่นและเต็มร้อยย่อมไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้
ในบทสัมภาษณ์ของรีด ที่ถูกตีพิมพ์ผ่านรอยเตอร์ นั้นเขากล่าวถึงเป้าหมายสูงสุดในการทำทีมชาติไทยไว้ว่า “การเซ็นสัญญาทำหน้าที่ให้กับทีมไทยนั้นความท้าทายมากที่สุดคือพาพวกเขาไปฟุตบอลโลกปี 2014” หากนับตามพันธะสัญญาดังกล่าวเวลาของ รีด และทีมชาติไทยนับจากนี้เหลืออีกเพียง 5 ปีซึ่งระหว่างทางนั้นมีบททดสอบรออยู่อีกมากนับตั้งแต่ เอเชี่ยน คัพ 2011 ที่หวังถึงรอบสุดท้าย ฟุตบอลซีเกมส์ ฟุตบอลเอเชี่ยน เกมส์ หรือแม้กระทั่งกลับมาแก้ตัวใน อาเซียน คัพ หรือ คิงส์ คัพ ปี 2010 ทั้งหมดคือภาระหน้าที่ของ ปีเตอร์ รีด และ ทีมชาติไทยที่ต้องเรียกศรัทธาคืนกลับมาให้ได้ทั้งหมดด้วยผลงานในสนามเท่านั้น