ขณะที่ศึก ยูโรเปียน ทัวร์ ประจำฤดูกาล 2008 กำลังปิดฉากลงต้นเดือนหน้า คณะกรรมการจัดการแข่งขันได้ตกลงปรับโฉมปฏิทินปี 2009 แบบยกเครื่อง โดยมีไฮไลท์อยู่ที่รายการน้องใหม่อย่าง “ดูไบ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิป” ที่ก้าวขึ้นมาเป็นทัวร์นาเมนท์ที่มีเงินรางวัลสูงที่สุดในโลก ซึ่งจากความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวน่าจะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับวงการกอล์ฟโลกได้ไม่น้อย
หลังได้ “เลเชอร์ คอร์ป” (Leisure Corp) กลุ่มนักลงทุนเงินหนาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ยูโรเปียน ทัวร์ ก็จัดแจงเปลี่ยนตำแหน่งทำเงินรางวัลสูงสุดหรือ ออร์เดอร์ ออฟ เมริท (Order of Merit) ไปเป็นชื่อ “เรซ ทู ดูไบ” (Race to Dubai) ที่มีมูลค่ารวมกว่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 680 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงิน 10 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 340 ล้านบาท สำหรับศึก ดูไบ เวิลด์ แชมเปี้ยนชิป ส่วนอีก 10 ล้านเหรียญสหรัฐ จะถูกแบ่งให้กับผู้ที่ได้ 15 อันดับแรกของ ทัวร์
ทั้งนี้ “ดูไบ เวิลด์ แชมเปียนชิป” จะเป็นรายการสุดท้ายของฤดูกาลเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เป็นมือ 1 ของยุโรป แทนที่ วอลโว่ มาสเตอร์ส (ที่ฤดูกาลหน้าจะกลายเป็นรายการ วอลโว่ เวิลด์ แมทช์เพลย์) โดยรายการใหม่นี้จะนำผู้เล่น 60 อันดับแรกไปดวลกันที่สนาม จูไมราห์ กอล์ฟ เอสเตทส์ เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ชิงเงินรางวัล 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแชมป์จะได้รับเงินถึง 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 54.4 ล้านบาท และกำหนดแข่งเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2009
ซึ่งจากจำนวนเงินรางวัลก้อนโตดังกล่าวน่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญที่จะส่งผลให้บรรดาโปรชื่อดังใน พีจีเอ ทัวร์ ปรารถนาจะมาเล่นในยุโรปมากขึ้น เนื่องจากคาดหมายกันว่าด้วยสภาพเศรษฐกิจอันตกต่ำของสหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อสปอนเซอร์และจำนวนเงินรางวัลในหลายๆ รายการของ พีจีเอ ทัวร์ ในปีหน้าอย่างแน่นอน
โดยจนถึงเวลานี้ได้มีกระแสข่าวออกมาว่าเหล่าผู้เล่นชั้นนำหลายรายใน พีจีเอ ทัวร์ กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะแบ่งเวลามาเล่นในยุโรปให้มากขึ้นเพื่อคว้าสิทธิ์ลงเล่นศึก ดูไบ เวิลด์ฯ ที่มีเงินรางวัลล่อใจสูง โดยมีชื่อของทั้ง ฟิล มิคเคลสัน, แอนโธนี คิม, วีเจย์ ซิงห์ และ เออร์นี เอลส์ ขณะที่ ไทเกอร์ วู้ดส์ ที่ไม่ค่อยให้ความสนใจกับการเล่นใน ยูโรเปียน ทัวร์ นัก ก็อาจต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองเมื่อนึกถึงโอกาสในการไปล่าเงินรางวัลในตะวันออกกลางเช่นกัน
ดังเช่นโรเบิร์ต อัลเลนบี สวิงจากแดนจิงโจ้ ที่เคยเล่นอยู่ใน ยูโรเปียน ทัวร์ มา 7 ปีก่อนตัดสินใจย้ายไปเล่นในพีจีเอทัวร์ พูดถึงมิติใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้าว่า "เงินตั้ง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หากคุณปัดโอกาสที่จะได้เข้าร่วมชิงชัยก็โง่เต็มทีแล้ว"
การเกิดขึ้นของ “เส้นทางสู่ดูไบ” ที่เปรียบดังขุมทรัพย์ให้โปรทั้งหลายได้เข้าไปกอบโกย นอกจากจะเป็นแรงดึงดูดชั้นดีให้ผู้เล่นชั้นนำจากอีกฝากหนึ่งของโลกเข้ามาร่วมใน ทัวร์ แล้ว ยังน่าจะช่วยรักษาก้านเหล็กชื่อดังชาวยุโรป ให้กลับมาให้ความสนใจกับอีเวนท์กอล์ฟภายในทวีปบ้านเกิดมากกว่าหันไปไล่ล่าเงินรางวัลที่สูงกว่าใน พีจีเอ ทัวร์ ตัวอย่างเช่น เซอร์จิโอ การ์เซีย โปรมือดีจากสเปน ที่ปีนี้เล่นใน ยูโรเปียน ทัวร์ ไปแค่ 11 รายการ ส่วน พาเดรก แฮร์ริงตัน แชมป์เมเจอร์ 2 รายการติดต่อกันในปีนี้ชาวไอริช ก็เล่นไปเพียง 13 รายการเท่านั้น
ขณะที่ข้อกำหนดการเพิ่มจำนวนรายการที่ต้องลงเล่นจาก 11 เป็น 12 รายการเพื่อรักษาสถานะภาพสมาชิก ยูโรเปียน ทัวร์ นั้น ก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อโปรที่ต้องการเป็นสมาชิกของทั้ง 2 ทัวร์แต่อย่างใด เนื่องจากผู้เล่นทุกคนต้องเล่น 4 รายการเมเจอร์ กับอีก 3 รายการเวิลด์ แชมเปียนชิป อยู่แล้ว ซึ่งหมายความว่าลงแข่งเพิ่มอีกเพียงแค่ 5 รายการ และติดอยู่ใน 60 อันดับแรก ก็จะได้สิทธิ์สวิง ดูไบ เวิลด์ฯ ทันที
ที่สุดแล้วแม้ จอร์จ โอเกรดี้ หัวหน้าฝ่ายบริหารของ ยูโรเปียน ทัวร์ จะยืนกรานว่าการถือกำเนิดขึ้นของ “เรซ ทู ดูไบ” และ “ดูไบ เวิลด์ แชมเปียนชิป” จะไม่มีเจตนาขึ้นมาท้าชิงความน่าสนใจจากพี่ใหญ่อย่าง พีจีเอ ทัวร์ แต่ขณะที่สถาบันการเงินในสหรัฐฯ กำลังมีปัญหา การเดินหมากในครั้งนี้ของ ยูโรเปียน ทัวร์ ก็ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก