คอลัมน์ Final Quarter โดย ลุงแซม
ย้อนกลับไปเมื่อสี่เดือนก่อน ผมยังจำได้กับการนั่งชมการให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาของ เบร็ตต์ ฟาร์ฟ ถึงการประกาศรีไทร์จากวงการ อเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) แต่มาวันนี้ควอเตอร์แบ็กวัย 38 ปี ออกอาการลืมแก่พร้อมกลับมาชนคนอีกครั้ง แต่อาจไม่ใช่กับ "กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส"
17 ปีก่อนหนุ่มหน้ามนคนชื่อ "เบร็ตต์ ฟาร์ฟ" เป็นนักศึกษาคนที่ 33 ที่เดินเข้าสู่ลีก NFL โดย แอตแลนตา ฟอลคอนส์ คัดเลือกเข้ามาในรอบที่สอง และคงไม่น่าแปลกใจอะไรหากแฟนๆ ไม่คิดว่า ฟาร์ฟ เคยอยู่ภายใต้ยูนิฟอร์ม "Dirty Birds" ในเมื่อรุคกี้จากคอลเลจ เซาธ์เทิร์น มิสซิสซิปปี ขว้างบอลให้ทีมไปแค่ 4 หน เพียงแค่หนแรกในอาชีพอย่างเต็มตัว ฟาร์ฟ ก็ขว้างเสียอินเทอร์เซปต์ถูกคู่แข่งวิ่งย้อนไปเป็นทัชดาวน์
ทว่าพอจบฤดูกาลไม่มีใครคิดว่า รอน โวล์ฟ ผู้จัดการทั่วไป กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส สมัยนั้นยอมปล่อย โทนี สมิธ รันนิงแบ็กดราฟท์รอบแรก อันดับ 19 ของทีมเมื่อปี 1991 ไปเทรดแลกกับ ฟาร์ฟ จากวันนั้นถึงเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ควอเตอร์แบ็กมหาหินสร้างเรื่องราวต่างๆ ได้มากมายให้แก่ NFL
ตลอดการเล่นในถิ่นแลมโบว์ ฟิลด์ ฟาร์ฟ ทำสถิตินานัปการกับช่วงเวลา 16 ฤดูกาลกับ แพ็คเกอร์ส การลงสนามเป็นตัวจริงติดต่อกัน 275 เกมรวมเพลย์ออฟ กับระยะที่ขว้างไป 61,655 หลา 442 ทัชดาวน์ แปรเปลี่ยนเป็น "วินซ์ ลอมบาร์ดี โทรฟี่" เกียรติยศสูงสุดแห่งวงการคนชนคน และแชมป์เมื่อปี 1996 ก็ทำให้แฟนๆ "หัวเนยแข็ง" ได้เห็นทีมสัมผัสแชมป์อีกครั้งหลังห่างหายไปนานถึง 30 ปีเต็ม จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เหล่า "แพ็คส์แมน" จะหวงแหวนตำนานและอยากเก็บ ฟาร์ฟ ให้เป็นมรดกของเฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันส่อไปในทางทำให้แฟนๆ แพ็คเกอร์ส เสียความรู้สึกไม่น้อย เมื่อ ฟาร์ฟ ยอมเอ่ยปากครั้งแรกหลังปล่อยให้มีกระแสข่าวลือคัมแบ็กสู่ NFL แพร่กระจายมาได้พักใหญ่ โดยจอมทัพกระดูกเหล็กยืนยันต้องการกลับมาชนคนอีกครั้ง แต่ต้นสังกัด (ใหม่) ของเขาอาจไม่ได้ชื่อ "กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส"
การตัดสินใจของ ฟาร์ฟ เมื่อสี่เดือนก่อนทำให้ แพ็คเกอร์ส พร้อมเดินไปข้างหน้าร่วมกับ อารอน ร็อดเจอร์ส ควอเตอร์แบ็กคนหนุ่มที่ถือคลิปบอร์ดศึกษาแผนการเล่นของทีม และเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ จาก ฟาร์ฟ มาเป็นระยะเวลา 3 ฤดูกาลเต็ม การหวนคืนสู่วงการของ ฟาร์ฟ ในครั้งนี้กำลังทำให้ทุกฝ่ายอึดอัดใจ
จากที่ได้ติดตามกระแสข่าวดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ผมเข้าใจความรู้สึกของ ฟาร์ฟ ณ วันที่เขาตัดสินใจขึ้นโพเดียมประกาศรีไทร์ "อเมริกัน ฟุตบอล" เป็นเกมการแข่งขันที่หนัก มีฤดูกาลที่ยาวนาน การฝึกซ้อมสมบุกสมบัน ฟาร์ฟ คงไม่มีเวลาให้ครอบครัวมากนัก ประกอบกับการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำให้คำพูดที่ออกมานั้นไม่ได้ออกมาจากใจหมดทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์
ในส่วนของ แพ็คเกอร์ส ผมค่อนข้างให้ความเห็นใจและลำบากใจแทนเป็นอย่างยิ่ง ไมค์ แม็คคาร์ธีย์ หัวหน้าโค้ชประกาศไว้ชัดเจนว่าทีมเตรียมเดินหน้าไปกับ ร็อดเจอร์ส ด้านของ เท็ด ธอมป์สัน พร้อมอ้าแขนรับ ฟาร์ฟ กลับสู่บ้านเก่าแต่สถานภาพต้องเปลี่ยนไปเป็นคนถือคลิปบอร์ดยืนอยู่ข้างสนามแทน และคงเป็นการเสียผู้ใหญ่ไม่น้อยหากทีมเลือกให้ ฟาร์ฟ กลับมาเป็นตัวจริง แม้แฟนๆ เรียกร้องมากเพียงใดก็ตาม
หากถามว่าถ้าให้ ร็อดเจอร์ส ลงสนาม แพ็คเกอร์ส มีโอกาสเข้าเพลย์ออฟหรือไม่? คำตอบในใจผมยังคิดว่ามีแต่โอกาสอาจไม่มากเท่ากับการสแน็ปบอลให้ ฟาร์ฟ ลุยต่อ แต่ถ้ามองกันในระยะยาว "แพ็คส์" เหมือนถูกหวยเมื่อ ร็อดเจอร์ส หล่นมาอยู่ในอันดับ 24 อดีตจอมทัพมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย ต้องมีอะไรดีบ้างล่ะ มิเช่นนั้นคงไม่ถูกกะเก็งให้เป็นว่าที่ "นัมเบอร์วัน ดราฟท์" เมื่อปี 2005
ความคิดที่จะนำ ฟาร์ฟ กลับมาเป็นสำรองคอยเป็นไฟลนก้น ร็อดเจอร์ส ประเด็นนี้เลือกคิดได้เลย ที่สำคัญหลังจบฤดูกาล 2008/09 ฟาร์ฟ คงโดนเงื่อนไขของกาลเวลาและสังขารบีบให้ต้องประกาศรีไทร์ไปเอง ขณะที่ ร็อดเจอร์ส ยังหนุ่มแน่นอายุเพียง 24 ปี ถ้าปั้นดีๆ สามารถใช้งานได้ถึง 10 ปี ดีไม่ดี "เบร็ตต์ ฟาร์ฟ 2" อาจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ผมยังมองว่า แพ็คเกอร์ส ควรคืนสิทธิการคัมแบ็กให้ ฟาร์ฟ ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันมานาน ขณะที่ตัว ฟาร์ฟ เองก็น่าจะยอมเซ็นสัญญาก่อนเข้าสู่กระบวนการเทรดต่อไป ส่วนแฟนๆ แพ็คเกอร์ส ต้องยอมรับความจริงให้ได้ที่ต้องเห็นฮีโร่ของพวกเขาเปลี่ยนสียูนิฟอร์ม ที่ต้องคำนึงเหนือสิ่งอื่นใด ฟาร์ฟ ควรเลี่ยงไปอยู่กับ มินเนโซตา ไวกิงส์ หรือว่า ชิคาโก แบร์ส อริร่วมกลุ่ม NFC เหนือ เพราะนั่นเป็นการทำร้ายจิตใจบรรดาผู้มีพระคุณของเขามากไปกว่านี้
ย้อนกลับไปเมื่อสี่เดือนก่อน ผมยังจำได้กับการนั่งชมการให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตาของ เบร็ตต์ ฟาร์ฟ ถึงการประกาศรีไทร์จากวงการ อเมริกัน ฟุตบอล เอ็นเอฟแอล (NFL) แต่มาวันนี้ควอเตอร์แบ็กวัย 38 ปี ออกอาการลืมแก่พร้อมกลับมาชนคนอีกครั้ง แต่อาจไม่ใช่กับ "กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส"
17 ปีก่อนหนุ่มหน้ามนคนชื่อ "เบร็ตต์ ฟาร์ฟ" เป็นนักศึกษาคนที่ 33 ที่เดินเข้าสู่ลีก NFL โดย แอตแลนตา ฟอลคอนส์ คัดเลือกเข้ามาในรอบที่สอง และคงไม่น่าแปลกใจอะไรหากแฟนๆ ไม่คิดว่า ฟาร์ฟ เคยอยู่ภายใต้ยูนิฟอร์ม "Dirty Birds" ในเมื่อรุคกี้จากคอลเลจ เซาธ์เทิร์น มิสซิสซิปปี ขว้างบอลให้ทีมไปแค่ 4 หน เพียงแค่หนแรกในอาชีพอย่างเต็มตัว ฟาร์ฟ ก็ขว้างเสียอินเทอร์เซปต์ถูกคู่แข่งวิ่งย้อนไปเป็นทัชดาวน์
ทว่าพอจบฤดูกาลไม่มีใครคิดว่า รอน โวล์ฟ ผู้จัดการทั่วไป กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส สมัยนั้นยอมปล่อย โทนี สมิธ รันนิงแบ็กดราฟท์รอบแรก อันดับ 19 ของทีมเมื่อปี 1991 ไปเทรดแลกกับ ฟาร์ฟ จากวันนั้นถึงเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา ควอเตอร์แบ็กมหาหินสร้างเรื่องราวต่างๆ ได้มากมายให้แก่ NFL
ตลอดการเล่นในถิ่นแลมโบว์ ฟิลด์ ฟาร์ฟ ทำสถิตินานัปการกับช่วงเวลา 16 ฤดูกาลกับ แพ็คเกอร์ส การลงสนามเป็นตัวจริงติดต่อกัน 275 เกมรวมเพลย์ออฟ กับระยะที่ขว้างไป 61,655 หลา 442 ทัชดาวน์ แปรเปลี่ยนเป็น "วินซ์ ลอมบาร์ดี โทรฟี่" เกียรติยศสูงสุดแห่งวงการคนชนคน และแชมป์เมื่อปี 1996 ก็ทำให้แฟนๆ "หัวเนยแข็ง" ได้เห็นทีมสัมผัสแชมป์อีกครั้งหลังห่างหายไปนานถึง 30 ปีเต็ม จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่เหล่า "แพ็คส์แมน" จะหวงแหวนตำนานและอยากเก็บ ฟาร์ฟ ให้เป็นมรดกของเฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันส่อไปในทางทำให้แฟนๆ แพ็คเกอร์ส เสียความรู้สึกไม่น้อย เมื่อ ฟาร์ฟ ยอมเอ่ยปากครั้งแรกหลังปล่อยให้มีกระแสข่าวลือคัมแบ็กสู่ NFL แพร่กระจายมาได้พักใหญ่ โดยจอมทัพกระดูกเหล็กยืนยันต้องการกลับมาชนคนอีกครั้ง แต่ต้นสังกัด (ใหม่) ของเขาอาจไม่ได้ชื่อ "กรีนเบย์ แพ็คเกอร์ส"
การตัดสินใจของ ฟาร์ฟ เมื่อสี่เดือนก่อนทำให้ แพ็คเกอร์ส พร้อมเดินไปข้างหน้าร่วมกับ อารอน ร็อดเจอร์ส ควอเตอร์แบ็กคนหนุ่มที่ถือคลิปบอร์ดศึกษาแผนการเล่นของทีม และเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ จาก ฟาร์ฟ มาเป็นระยะเวลา 3 ฤดูกาลเต็ม การหวนคืนสู่วงการของ ฟาร์ฟ ในครั้งนี้กำลังทำให้ทุกฝ่ายอึดอัดใจ
จากที่ได้ติดตามกระแสข่าวดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง ผมเข้าใจความรู้สึกของ ฟาร์ฟ ณ วันที่เขาตัดสินใจขึ้นโพเดียมประกาศรีไทร์ "อเมริกัน ฟุตบอล" เป็นเกมการแข่งขันที่หนัก มีฤดูกาลที่ยาวนาน การฝึกซ้อมสมบุกสมบัน ฟาร์ฟ คงไม่มีเวลาให้ครอบครัวมากนัก ประกอบกับการเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำให้คำพูดที่ออกมานั้นไม่ได้ออกมาจากใจหมดทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์
ในส่วนของ แพ็คเกอร์ส ผมค่อนข้างให้ความเห็นใจและลำบากใจแทนเป็นอย่างยิ่ง ไมค์ แม็คคาร์ธีย์ หัวหน้าโค้ชประกาศไว้ชัดเจนว่าทีมเตรียมเดินหน้าไปกับ ร็อดเจอร์ส ด้านของ เท็ด ธอมป์สัน พร้อมอ้าแขนรับ ฟาร์ฟ กลับสู่บ้านเก่าแต่สถานภาพต้องเปลี่ยนไปเป็นคนถือคลิปบอร์ดยืนอยู่ข้างสนามแทน และคงเป็นการเสียผู้ใหญ่ไม่น้อยหากทีมเลือกให้ ฟาร์ฟ กลับมาเป็นตัวจริง แม้แฟนๆ เรียกร้องมากเพียงใดก็ตาม
หากถามว่าถ้าให้ ร็อดเจอร์ส ลงสนาม แพ็คเกอร์ส มีโอกาสเข้าเพลย์ออฟหรือไม่? คำตอบในใจผมยังคิดว่ามีแต่โอกาสอาจไม่มากเท่ากับการสแน็ปบอลให้ ฟาร์ฟ ลุยต่อ แต่ถ้ามองกันในระยะยาว "แพ็คส์" เหมือนถูกหวยเมื่อ ร็อดเจอร์ส หล่นมาอยู่ในอันดับ 24 อดีตจอมทัพมหาวิทยาลัย แคลิฟอร์เนีย ต้องมีอะไรดีบ้างล่ะ มิเช่นนั้นคงไม่ถูกกะเก็งให้เป็นว่าที่ "นัมเบอร์วัน ดราฟท์" เมื่อปี 2005
ความคิดที่จะนำ ฟาร์ฟ กลับมาเป็นสำรองคอยเป็นไฟลนก้น ร็อดเจอร์ส ประเด็นนี้เลือกคิดได้เลย ที่สำคัญหลังจบฤดูกาล 2008/09 ฟาร์ฟ คงโดนเงื่อนไขของกาลเวลาและสังขารบีบให้ต้องประกาศรีไทร์ไปเอง ขณะที่ ร็อดเจอร์ส ยังหนุ่มแน่นอายุเพียง 24 ปี ถ้าปั้นดีๆ สามารถใช้งานได้ถึง 10 ปี ดีไม่ดี "เบร็ตต์ ฟาร์ฟ 2" อาจอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องนี้ผมยังมองว่า แพ็คเกอร์ส ควรคืนสิทธิการคัมแบ็กให้ ฟาร์ฟ ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกันมานาน ขณะที่ตัว ฟาร์ฟ เองก็น่าจะยอมเซ็นสัญญาก่อนเข้าสู่กระบวนการเทรดต่อไป ส่วนแฟนๆ แพ็คเกอร์ส ต้องยอมรับความจริงให้ได้ที่ต้องเห็นฮีโร่ของพวกเขาเปลี่ยนสียูนิฟอร์ม ที่ต้องคำนึงเหนือสิ่งอื่นใด ฟาร์ฟ ควรเลี่ยงไปอยู่กับ มินเนโซตา ไวกิงส์ หรือว่า ชิคาโก แบร์ส อริร่วมกลุ่ม NFC เหนือ เพราะนั่นเป็นการทำร้ายจิตใจบรรดาผู้มีพระคุณของเขามากไปกว่านี้