xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละซีรีส์ชิงแชมป์ NBA / ลุงแซม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ Final Quarter โดย ลุงแซม

ลุยยัดห่วงกันมาร่วมๆ 9 เดือนในที่สุด “บอสตัน เซลติกส์” สามารถดับผยอง โคบี ไบรอันท์ แอนด์ เดอะ แก็งค์ (แอลเอ เลเกอร์ส) 4-2 เกมในซีรีส์ชิงแชมป์ NBA ประจำฤดูกาล 2007/08 พร้อมคลอดแชมป์สมัย 17 ให้แก่แฟนๆ ได้เชยชมกัน และนี่ก็ถือเป็นเกียรติยศหนแรกในรอบ 22 ปีด้วย

ก่อนซีรีส์แห่งความเร้าใจเริ่มขึ้น ทั้งสื่อไทยสื่อเทศรวมถึงแฟนๆ ยัดห่วงจากทั่วโลกต่างมองว่า บอสตัน เซลติกส์ ดูเป็นรอง แอลเอ เลเกอร์ส เนื่องจากลูกทีมของ ด็อกซ์ ริเวอร์ส เพิ่งรวมตัวกันไม่นาน (สำหรับการขึ้นมาเป็นทีมระดับลุ้นแชมป์) อีกทั้งเมื่อเทียบขุมกำลังประลองฟอร์มการเล่นที่ผ่านมาในแต่ละรอบ เด็กๆ ของ ฟิล แจ็คสัน เด็ดขาดและก็น่าปิดฉากลงได้ใน 6 เกม ก่อนขึ้นไปเถลิงแชมป์สมัยที่ 15 ในประวัติศาสตร์

แต่ที่ไหนได้ความฝันของชาวเมืองบอสตันกลับก่อร่างสร้างตัวเร็วเกินคาด การมาของ เควิน การ์เนตต์ กับ เรย์ อัลเลน ผนึกกำลัง พอล เพียร์ซ เป็น “บิ๊กทรี” ช่วยขุนความมั่นใจของสองดาวรุ่งอย่าง ราฮอน รอนโด และเคนดริก เพอร์กินส์ จนทีมขึ้นมาเป็นเต็งหนึ่งฝั่งตะวันออก ก่อนอาศัยความเป็นมวยรองพลิกล็อกใส่ เลเกอร์ส ได้ในที่สุด

โดยซีรีส์ที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ เมื่อวันก่อน ลองมาชำแหละดูกันว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในความแตกต่างระหว่าง “ผู้แพ้-ผู้ชนะ” เริ่มจากผลพวงของการเก็บเกี่ยวชัยชนะเป็นกอบเป็นกำถึง 66 เกมในฤดูกาลปกติ (จากทั้งหมด 82 เกม) ของ เซลติกส์ ทำให้ทีมได้สิทธิเล่นในบ้านที่เหนือกว่าคู่แข่ง “Home Field Advantage” ตลอดช่วงเพลย์ออฟ ขณะที่ เลเกอร์ส โชคร้ายหน่อยที่อยู่ในสายแข็งอย่างตะวันตกทำให้ทีมขวัญใจมหาชนกวาดชัยมาแค่ 57 เกม (ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ของลีก) ดังนั้นการมาเจอกันในรอบชิงระบบ 2-3-2 เกม เซลติกส์ จึงออกตัวเหลื่อมอยู่นิดๆ ที่จุดสตาร์ท

ทว่าเมื่อพิเคราะห์ให้ดี เซลติกส์ สภาพร่างกายกรอบเป็นข้าวเกรียบ เพราะกว่าจะคว้าแชมป์ฝั่งตะวันออกมาได้ต้องลุยแข่งกันถึง 20 เกม จากการบดเอาชนะ แอตแลนตา ฮอว์คส กับ คลีฟแลนด์ แคฟวาเลียร์ส แบบให้ลุ้นถึงเกมตัดสิน (เกมที่ 7) ขณะที่ผ่าน ดีทรอยต์ พิสตันส์ หาใช่ง่ายเพราะต้องเสียเหงื่อถึง 6 เกม แต่ในความเหนื่อยล้าก็ได้มาซึ่งสัญญาณเริ่มต้นที่ดีเมื่อลูกทีมของ ริเวอร์ส ชนะนอกบ้านในโพสต์ซีซั่นเป็นเสียที ทำให้โมเมนตัมถูกดึงกลับมาสู้กับ เลเกอร์ส ที่กำลังสดและคึกจากการสวีปใส่ เดนเวอร์ นักเก็ตส์ (4- 0 เกม) ก่อนปราบ ยูทาห์ แจซซ์ 4-2 เกม และเล่นงาน “แชมป์เก่า” ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส ง่ายเกินคาด 4-1 เกม

ซึ่งการเริ่มต้นด้วยการขึ้นนำซีรีส์ 2-0 เกม ทำให้ เซลติกส์ ถลำเข้าเส้นชัยไปกว่าครึ่งก้าว เพราะขุดประวัติศาสตร์กันขึ้นมาดูมีเพียงสามทีมเท่านั้นที่คัมแบ็กกลับมาเป็นแชมป์ได้นั่นก็คือ เซลติกส์ (ปี 1969), ปอร์ทแลนด์ เทลเบลเซอร์ส (1977) และไมอามี ฮีท (2006) เพียงแต่ เลเกอร์ส ไม่ยอมง่ายๆ ไล่มาตามสเต็ป 1-2 แต่จุดพลิกผันของซีรีส์เกิดขึ้นจนได้ในเกมที่ 4 ที่สเตเปิล เซ็นเตอร์ เมื่อ เซลติกส์ อาศัยการคัมแบ็กเป็นประวัติการณ์ถึง 24 แต้มกลับมาคว้าชัย 97-91 คะแนน ในขณะที่ เลเกอร์ส เคยมีโอกาสแบบนี้หนหนึ่งในเกมที่สองแต่ลูกทีมของ “บิ๊กฟิล” ทำกันไม่ได้

เมื่อตามหลัง 1-3 เกม ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า เซลติกส์ ใกล้ถึงฝั่งฝันเข้าไปทุกที เพราะในอดีต 28 ทีมที่ขึ้นแท่นเมื่อผ่านไปแค่ 4 เกมไม่มีใครพลาดตกบัลลังก์แม้แต่รายเดียว และนับตั้งแต่เปลี่ยนระบบรอบชิงจาก 2-2-1-1-1 เกมมาเป็น 2-3-2 เมื่อปี 1984 ไม่เคยมีทีมใดคว้าชัยเกมเยือนสองนัดปิดซีรีส์ได้เลย ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว เซลติกส์ ก็นำ “ลาร์รี โอไบรอัน โทรฟี่” เข้าตู้โชว์ที่ “ทีดี แบงค์นอร์ธ การ์เดน” ได้สำเร็จด้วยเกมปิดท้ายตอกใส่อกคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เลเกอร์ส 131-92 คะแนน

บนเส้นทางหฤโหดถึง 26 เกมกว่าจะมาถึงตำแหน่ง “แชมเปี้ยนส์” เซลติกส์ ทำงานร่วมกันมาอย่างแข็งขันเริ่มตั้งแต่ แดนนี เอนจ์ ทำให้ทีมมี “บิ๊กทรี” อีกครั้งนับตั้งแต่ยุคของ ลาร์รี เบิร์ด, โรเบิร์ต แพริช และเควิน แม็คเฮล ในยุค 80 และสุภาษิตสุดคลาสสิกที่ว่า “หลายหัวดีกว่าหัวเดียว” ก็ยังคงยั่งยืนยงอยู่ต่อไป

เพราะถ้า เพียร์ซ ไม่ได้ทั้ง อัลเลน และการ์เนตต์ มาช่วยงาน ตำแหน่ง MVP รอบชิงและแหวนแชมป์วงแรกในชีวิตของใครหลายคนคงไม่สัมฤทธิ์ผล อีกทั้งถ้าไม่ได้กำลังเสริมที่ทุ่มเทอย่าง รอนโด, เพอร์กินส์ รวมถึงบรรดาตัวสำรองทีเด็ดอย่าง เจมส์ โพซีย์, พี.เจ.บราวน์, เอ็ดดี เฮาส์, ลีออน โพล, เกล็น เดวิส หรือแม้แต่ แซม คาสเซลล์ หัวหน้าโค้ชอย่าง ริเวอร์ส ก็คงไม่ประสบความสำเร็จสูงสุดตั้งแต่ขวบปีแรกที่เข้าสู่รอบชิง NBA
กำลังโหลดความคิดเห็น