คอลัมน์ "Final Quarter" โดย ลุงแซม
สมใจอยากสำหรับคอยัดห่วงที่พลาดโอกาสชมซีรีส์เกมชิงแชมป์เอ็นบีเอ (NBA) สุดคลาสสิกระหว่าง “แอลเอ เลเกอร์ส” กับ “บอสตัน เซลติกส์” ช่วงทศวรรษที่ 80 เมื่อผู้กำกับมือดีอย่าง ฟิล แจ็คสัน และด็อกซ์ ริเวอร์ส นำกลับมาทำใหม่ในปี 2008 ซึ่งผู้อำนวยการสร้าง เดวิด สเติร์น คงยิ้มแก้มปริกับเรตติ้งที่เชื่อว่าคงกระฉูดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกัน ABC สถานีโทรทัศน์แม่ข่ายการถ่ายทอดสดเตรียมเปิดบัญชีรับเงินก้อนโตจากบรรดาสินค้าโฆษณาได้เลยเมื่อ “คู่อริ” แห่งวงการกีฬามะกันอีกคู่หนึ่งโคจรมาพบกันเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี
จั่วหัวอลังการงานสร้างขนาดนั้นแต่กระผมขออนุญาตกระชากอารมณ์ผู้อ่านคืนมา เนื่องจากในตอนนี้จะไม่พูดถึงซีรีส์ชิงชนะเลิศ NBA ที่เกมแรกมีคิวประลองความแม่นยำกันในเช้าวันศุกร์นี้แล้ว สืบเนื่องจากด้านล่างหรือข้างๆ ของคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเซคชั่นกีฬาได้ทำการพรีวิวเกมระหว่าง “เลเกอร์ส-เซลติกส์” ให้ได้ติดตามกันอย่างเต็มอิ่ม ส่วนประเด็นที่นำมาแลกเปลี่ยนทรรศนะกันในเช้าวันพฤหัสบดีเป็นเรื่องของทิศทางหรือก้าวต่อไปทีมอกหักอย่าง ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส และดีทรอยต์ พิสตันส์
ด้วยโชคชะตาหรือฟ้ามิเป็นใจ ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส จึงหมดสิทธิเข้าป้องกันตำแหน่งแชมป์แบบตะขิดตะขวงในใจ ในซีรีส์ชิงแชมป์สายตะวันตกเกมที่ 4 ลูกทีมของ เกร็ก โพโพวิช โดนพิษเชิ้ตเทาเล่นงานพร้อมกับคำถามที่ว่าทำไม ดีเร็ค ฟิชเชอร์ การ์ดจอมเก๋าเลเกอร์ส ถึงไม่ฟาล์วในจังหวะที่ เบรนท์ แบร์รี ผู้เล่นจอมแม่นของสเปอร์ส ขึ้นชู้ตสามแต้มในวินาทีท้ายของเกม ถ้าเสียงนกหวีดดังขึ้น แฟนๆ ในเอที แอนด์ ที อาจไม่ต้องกลับบ้านด้วยอาการเซ็งเป็ด เนื่องจาก แบร์รี (ซึ่งส่องฟรีโทรล์ในฤดูกาลปกติลงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ในโพสต์ซีซั่นคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์) จะมีโอกาสชู้ตลูกโทษถึงสามหนเพื่อพลิกสถานการณ์จากเป็นรอง 91-93 คะแนนกลับมาชนะ เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น สเปอร์ส จึงพ่ายคาถิ่นก่อนไปโดน เลเกอร์ส ปิดซีรีส์ 4-1 ในเกมถัดมา
การตกรอบในปีนี้ เกร็ก โพโพวิช พอมีข้ออ้างได้นอกจากความไม่สมบูรณ์ของข้อเท้า มานู จิโนบิลี การ์ดอาร์เจนไตน์ ความไม่ชอบมาพากลในการทำหน้าที่ตัดสินของ โจ ครอว์ฟอร์ด ผู้อยู่ใกล้กับเหตุการณ์ข้างต้นมากที่สุดแต่กลับทำเมิน เป็นเรื่องให้แฟนๆ ในเท็กซัสได้เคียดแค้นไปจนวันตาย เพราะเมื่อปีก่อนหากใครยังจำได้ผู้ตัดสินวัย 56 ปีรายนี้เคยท้าต่อยตีกับ ทิม ดันแคน ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์สเปอร์สมาแล้ว อาการเกาเหลากับทีมนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วดันกระเด้งขึ้นเบียดบังความถูกต้องของกฎกติกา
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองโลกในแง่ดีแฟนๆ สเปอร์ส ยังพอได้หวังกันในปีหน้า เพราะถึงพลาดในปีคู่ ตามเทรนด์ทีมยังมีโอกาสสัมผัสกับ “แลร์รี โอไบรอัน โทรฟี่” อีกครั้ง หลังจากที่เฟรนไชส์ไต่ถึงเกียรติยศสูงสุดมาได้ 4 หนในปีเลขคี่ล้วนๆ 1999, 2003, 2005 และ 2007 ด้วยการปลุกปั้นด้วยมือของ โพโพวิช ที่เพิ่งได้ขยายสัญญาทำงานต่อไปถึงฤดูกาล 2011/12 แต่ช่วงปิดฤดูกาล โพโพวิช ต้องปรึกษากับ อาร์.ซี.บูฟอร์ด ผู้จัดการทั่วไปของทีมให้ดีในการเสริมทัพ
ตัวเก๋าอย่าง โรเบิร์ต ฮอร์รี เตรียมปลดระวาง เคิร์ต โธมัส หรือ เดมอน สเตาดาไมร์ เห็นท่าจะไม่ไหว ควรเติมดาวรุ่งเข้ามาพร้อมให้โอกาสลงสนามบ้าง มิเช่นนั้นแชมป์ดิวิชั่นที่เคยผูกขาดอาจหลุดไปเป็นปีที่สามติดต่อกัน เนื่องจากคู่แข่งไม่ได้มีเพียงเพื่อนร่วมรัฐอย่าง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ และฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ แล้ว นิวออร์ลีนส์ ฮอร์เน็ตส์ ก้าวขึ้นมาอย่างน่าสนใจ อีกทั้งเป็นที่รู้กันว่าปรปักษ์ในฝั่งตะวันตกมหาหินขนาดไหน เลเกอร์ส, ฟีนิกซ์ ซันส์ หรือแม้แต่ ยูทาห์ แจซซ์ พร้อมก้าวขึ้นไปครองแชมป์ได้ทุกเมื่อ
โยกมาทางฝั่งตะวันออกบ้าง ความพ่ายแพ้ต่อ บอสตัน เซลติกส์ แบบเจ็บปวดทำให้ช่วงปิดฤดูกาลของ ดีทรอยต์ พิสตันส์ น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว เราอาจได้เห็นผู้เล่นที่ฝ่าฟันกันมาร่วม 10 ปีแยกย้ายกันไปคนละทิศทางยกเว้น ริป แฮมิลตัน กับ เทรชอน ปรินซ์ เมื่อสภาพร่างกายของ ชอนซีย์ บิลล์อัพส์ ย่ำแย่ไปตามอายุใช้งาน ประกอบกับสัญญาสุดแพงของ ราชีด วอลเลซ อาจทำให้สองตัวเก๋าโดนเทรดทิ้งเพื่อหาผู้เล่นหนุ่มแน่นเข้ามาผนึกกำลังกับ ร็อดนีย์ สตัคกี การ์ดจ่ายแห่งอนาคตที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นคนที่บอลให้ทีมในอีกไม่ช้าไม่นาน
ในส่วนของหัวหน้าโค้ชหวั่นใจแทน ฟลิป ซอนเดอร์ส ที่อาจไม่ได้กลับมาทำงานในเดอะ พาเลซกับสัญญาปีสุดท้าย แม้อดีตโค้ช มินเนโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส สามารถพาทีมเข้าชิงแชมป์สาย 3 สมัยติดต่อกันแต่สุดท้ายจบลงที่ความปราชัยล้วนๆ เมื่อไม่สามารถสานงานต่อจาก แลร์รี บราวน์ ได้อย่างเห็นผลอีกทั้งแนวทางการเล่นแบบเอ็นเตอร์เทนคนดูไม่เข้าตัวตนที่แท้จริงของ พิสตันส์ ท้ายที่สุดแล้ว โจ ดูมาร์ส ประธานฝ่ายปฏิบัติการด้านบาสเกตบอลอาจสวมวิญญาณ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมลูกหนัง “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยการสั่งปลด ซอนเดอร์ส ออกจากตำแหน่งในเร็ววันนี้ ด้วยเหตุผลคลาสสิกของทีมใหญ่ที่ว่า อันดับสอง (ของฝั่ง) มันยังไม่ดีพอ
สมใจอยากสำหรับคอยัดห่วงที่พลาดโอกาสชมซีรีส์เกมชิงแชมป์เอ็นบีเอ (NBA) สุดคลาสสิกระหว่าง “แอลเอ เลเกอร์ส” กับ “บอสตัน เซลติกส์” ช่วงทศวรรษที่ 80 เมื่อผู้กำกับมือดีอย่าง ฟิล แจ็คสัน และด็อกซ์ ริเวอร์ส นำกลับมาทำใหม่ในปี 2008 ซึ่งผู้อำนวยการสร้าง เดวิด สเติร์น คงยิ้มแก้มปริกับเรตติ้งที่เชื่อว่าคงกระฉูดเป็นประวัติการณ์ ขณะเดียวกัน ABC สถานีโทรทัศน์แม่ข่ายการถ่ายทอดสดเตรียมเปิดบัญชีรับเงินก้อนโตจากบรรดาสินค้าโฆษณาได้เลยเมื่อ “คู่อริ” แห่งวงการกีฬามะกันอีกคู่หนึ่งโคจรมาพบกันเป็นครั้งแรกในรอบ 21 ปี
จั่วหัวอลังการงานสร้างขนาดนั้นแต่กระผมขออนุญาตกระชากอารมณ์ผู้อ่านคืนมา เนื่องจากในตอนนี้จะไม่พูดถึงซีรีส์ชิงชนะเลิศ NBA ที่เกมแรกมีคิวประลองความแม่นยำกันในเช้าวันศุกร์นี้แล้ว สืบเนื่องจากด้านล่างหรือข้างๆ ของคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเซคชั่นกีฬาได้ทำการพรีวิวเกมระหว่าง “เลเกอร์ส-เซลติกส์” ให้ได้ติดตามกันอย่างเต็มอิ่ม ส่วนประเด็นที่นำมาแลกเปลี่ยนทรรศนะกันในเช้าวันพฤหัสบดีเป็นเรื่องของทิศทางหรือก้าวต่อไปทีมอกหักอย่าง ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส และดีทรอยต์ พิสตันส์
ด้วยโชคชะตาหรือฟ้ามิเป็นใจ ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส จึงหมดสิทธิเข้าป้องกันตำแหน่งแชมป์แบบตะขิดตะขวงในใจ ในซีรีส์ชิงแชมป์สายตะวันตกเกมที่ 4 ลูกทีมของ เกร็ก โพโพวิช โดนพิษเชิ้ตเทาเล่นงานพร้อมกับคำถามที่ว่าทำไม ดีเร็ค ฟิชเชอร์ การ์ดจอมเก๋าเลเกอร์ส ถึงไม่ฟาล์วในจังหวะที่ เบรนท์ แบร์รี ผู้เล่นจอมแม่นของสเปอร์ส ขึ้นชู้ตสามแต้มในวินาทีท้ายของเกม ถ้าเสียงนกหวีดดังขึ้น แฟนๆ ในเอที แอนด์ ที อาจไม่ต้องกลับบ้านด้วยอาการเซ็งเป็ด เนื่องจาก แบร์รี (ซึ่งส่องฟรีโทรล์ในฤดูกาลปกติลงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ในโพสต์ซีซั่นคิดเป็น 80 เปอร์เซ็นต์) จะมีโอกาสชู้ตลูกโทษถึงสามหนเพื่อพลิกสถานการณ์จากเป็นรอง 91-93 คะแนนกลับมาชนะ เมื่อไม่เป็นเช่นนั้น สเปอร์ส จึงพ่ายคาถิ่นก่อนไปโดน เลเกอร์ส ปิดซีรีส์ 4-1 ในเกมถัดมา
การตกรอบในปีนี้ เกร็ก โพโพวิช พอมีข้ออ้างได้นอกจากความไม่สมบูรณ์ของข้อเท้า มานู จิโนบิลี การ์ดอาร์เจนไตน์ ความไม่ชอบมาพากลในการทำหน้าที่ตัดสินของ โจ ครอว์ฟอร์ด ผู้อยู่ใกล้กับเหตุการณ์ข้างต้นมากที่สุดแต่กลับทำเมิน เป็นเรื่องให้แฟนๆ ในเท็กซัสได้เคียดแค้นไปจนวันตาย เพราะเมื่อปีก่อนหากใครยังจำได้ผู้ตัดสินวัย 56 ปีรายนี้เคยท้าต่อยตีกับ ทิม ดันแคน ฟอร์เวิร์ดซูเปอร์สตาร์สเปอร์สมาแล้ว อาการเกาเหลากับทีมนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วดันกระเด้งขึ้นเบียดบังความถูกต้องของกฎกติกา
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองโลกในแง่ดีแฟนๆ สเปอร์ส ยังพอได้หวังกันในปีหน้า เพราะถึงพลาดในปีคู่ ตามเทรนด์ทีมยังมีโอกาสสัมผัสกับ “แลร์รี โอไบรอัน โทรฟี่” อีกครั้ง หลังจากที่เฟรนไชส์ไต่ถึงเกียรติยศสูงสุดมาได้ 4 หนในปีเลขคี่ล้วนๆ 1999, 2003, 2005 และ 2007 ด้วยการปลุกปั้นด้วยมือของ โพโพวิช ที่เพิ่งได้ขยายสัญญาทำงานต่อไปถึงฤดูกาล 2011/12 แต่ช่วงปิดฤดูกาล โพโพวิช ต้องปรึกษากับ อาร์.ซี.บูฟอร์ด ผู้จัดการทั่วไปของทีมให้ดีในการเสริมทัพ
ตัวเก๋าอย่าง โรเบิร์ต ฮอร์รี เตรียมปลดระวาง เคิร์ต โธมัส หรือ เดมอน สเตาดาไมร์ เห็นท่าจะไม่ไหว ควรเติมดาวรุ่งเข้ามาพร้อมให้โอกาสลงสนามบ้าง มิเช่นนั้นแชมป์ดิวิชั่นที่เคยผูกขาดอาจหลุดไปเป็นปีที่สามติดต่อกัน เนื่องจากคู่แข่งไม่ได้มีเพียงเพื่อนร่วมรัฐอย่าง ดัลลัส แมฟเวอร์ริกส์ และฮุสตัน ร็อคเก็ตส์ แล้ว นิวออร์ลีนส์ ฮอร์เน็ตส์ ก้าวขึ้นมาอย่างน่าสนใจ อีกทั้งเป็นที่รู้กันว่าปรปักษ์ในฝั่งตะวันตกมหาหินขนาดไหน เลเกอร์ส, ฟีนิกซ์ ซันส์ หรือแม้แต่ ยูทาห์ แจซซ์ พร้อมก้าวขึ้นไปครองแชมป์ได้ทุกเมื่อ
โยกมาทางฝั่งตะวันออกบ้าง ความพ่ายแพ้ต่อ บอสตัน เซลติกส์ แบบเจ็บปวดทำให้ช่วงปิดฤดูกาลของ ดีทรอยต์ พิสตันส์ น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว เราอาจได้เห็นผู้เล่นที่ฝ่าฟันกันมาร่วม 10 ปีแยกย้ายกันไปคนละทิศทางยกเว้น ริป แฮมิลตัน กับ เทรชอน ปรินซ์ เมื่อสภาพร่างกายของ ชอนซีย์ บิลล์อัพส์ ย่ำแย่ไปตามอายุใช้งาน ประกอบกับสัญญาสุดแพงของ ราชีด วอลเลซ อาจทำให้สองตัวเก๋าโดนเทรดทิ้งเพื่อหาผู้เล่นหนุ่มแน่นเข้ามาผนึกกำลังกับ ร็อดนีย์ สตัคกี การ์ดจ่ายแห่งอนาคตที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นคนที่บอลให้ทีมในอีกไม่ช้าไม่นาน
ในส่วนของหัวหน้าโค้ชหวั่นใจแทน ฟลิป ซอนเดอร์ส ที่อาจไม่ได้กลับมาทำงานในเดอะ พาเลซกับสัญญาปีสุดท้าย แม้อดีตโค้ช มินเนโซตา ทิมเบอร์วูล์ฟส สามารถพาทีมเข้าชิงแชมป์สาย 3 สมัยติดต่อกันแต่สุดท้ายจบลงที่ความปราชัยล้วนๆ เมื่อไม่สามารถสานงานต่อจาก แลร์รี บราวน์ ได้อย่างเห็นผลอีกทั้งแนวทางการเล่นแบบเอ็นเตอร์เทนคนดูไม่เข้าตัวตนที่แท้จริงของ พิสตันส์ ท้ายที่สุดแล้ว โจ ดูมาร์ส ประธานฝ่ายปฏิบัติการด้านบาสเกตบอลอาจสวมวิญญาณ “เสี่ยหมี” โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมลูกหนัง “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยการสั่งปลด ซอนเดอร์ส ออกจากตำแหน่งในเร็ววันนี้ ด้วยเหตุผลคลาสสิกของทีมใหญ่ที่ว่า อันดับสอง (ของฝั่ง) มันยังไม่ดีพอ
