“ผี-เชลซี” ศึกสายเลือดชิงเจ้ายุโรป / เซียนไก๋

ถือเป็นการประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ของสโมสรจากอังกฤษ ในเวทียุโรปอย่างแท้จริง เพราะเป็นครั้งแรกที่ 2 ทีมจากเมืองผู้ดีต้องมาห้ำหั่นกันเองในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก ระหว่าง “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” กับ “เชลซี” ในวันพุธที่ 21 พฤษภาคมนี้ ณ สังเวียนแข้ง ลุซนิกี สเตเดียม ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย

52 ครั้งในนัดชิงก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ 2 หนเท่านั้นที่มีสโมสรจากชาติเดียวกับมาวัดกันเอง คือในฤดูกาล 1999-00 รีล มาดริด ยำใหญ่ บาเลนเซีย 3-0 และในฤดูกาล 2002-03 เอซี มิลาน ชนะจุดโทษ ยูเวนตุส 3-2 จนกระทั่งมาถึงครั้งนี้ซึ่ง แมนฯยู เข้าชิงก่อนหน้านี้ในปี 1968 และ 1999 ชนะรวด ส่วน เชลซี ถือเป็นครั้งแรกที่ได้มาชิงดำ

เป็นบอลถูกคู่อย่างแท้จริง เพราะเจอกันมาแล้ว 3 ยกในฤดูกาลนี้ ไล่ตั้งแต่ในศึก คอมมูนิตี ชิลด์ ที่ แมนฯยู เอาชนะจุดโทษ ตามด้วยในลีกเปิด โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ชนะก่อน 2-0 แต่ เชลซี ก็เอาคืนได้ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ 2-1 อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเป็น “ผีแดง” ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ชิป มาครองพร้อมกับมีลุ้นดับเบิลแชมป์ แต่ถึงกระนั้นก็ตามคงไม่ลืมว่าปีที่แล้วใน เอฟเอ คัพ นัดชิงเป็น “สิงห์บลูส์” เฉือนชนะไป 1-0

ทุกอย่างดูจะเข้าทาง แมนฯยู เพราะหากได้แชมป์ก็จะประจวบเหมาะกับที่เมื่อ 50 ปีก่อนมีนักเตะรุ่นพี่ 8 คนเสียชีวิตในโศกนาฎกรรมเครื่องบินตกที่มิวนิก อีกทั้ง ไรอัน กิกส์ ปีกจอมเก๋าก็จะทำสถิติรับใช้ต้นสังกัดสูงสุดตลอดกาล 759 นัดแซงหน้า เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน อีกด้วย รวมถึงถ้วยแชมป์อาจจะส่งให้ คริสเตียโน โรนัลโด ปีกตัวทะลุทะลวงคว้ารางวัล บัลลงดอร์ อย่างไรก็ตาม เชลซี คงไม่ยอมให้คู่อริมาฉลองบนแผ่นดิน รัสเซีย บ้านของเจ้าของทีม โรมัน อบราโมวิช ง่ายๆ แน่นอน

เกมนี้ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ แมนฯยู ยอมรับมีปัญหาในการจัดทัพ เพราะนักเตะทุกคนฟิตให้เลือกใช้งานแบบพร้อมหน้าพร้อมตา แต่คาดว่า พอล สโคลส์ ที่โดนแบนวืดนัดชิงในปี 1999 ที่คว่ำ บาเยิร์น มิวนิก แบบช็อกโลก จะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง เนื่องจากกำลังอยู่ในฟอร์มที่สุดยอด

“ผมรู้จักทีมของตัวเองดี แต่ไม่สนุกเลยที่จะต้องเลือก เพราะเราจะมีนักเตะฝีเท้าดีที่ไม่ได้ลงเล่น จึงไม่ง่ายเลยที่จะบอกพวกเขา เราสู้กันมาทั้งฤดูกาลดังนั้นต้องผิดหวังแน่ๆ แต่ทีมอยู่ในฟอร์มที่ดีไม่แพ้ในเกมยุโรปฤดูกาลนี้ รวมถึงชนะทีมที่ดีในรอบเซมิ-ไฟนัล นั่นจึงแสดงถึงศักยภาพของทีมได้เป็นอย่างดี” นายใหญ่เลือดสกอต เปิดเผย

อย่างไรก็ตาม เกมนี้มีการมองกันว่าอาจเต็มไปด้วยบรรยากาศเครียดและน่าเบื่อ เพราะทั้งสองทีมอาจจะงัดแท็กติกออกมาสู้กันแบบหมดไส้หมดพุง เหมือนกับในเกมลีกที่ แมนฯยู มาเยือนโดยเน้นเกมรับเต็มรูปแบบรอจังหวะสวนกลับและเกือบจะเสมอกันไป แต่ดันมาเสียจุดโทษจากการทำแฮนด์บอลของ ไมเคิล คาร์ริค จึงแพ้ไปในที่สุด หากเลือกได้ด้วยศักยภาพที่มีทั้ง โรนัลโด, เวย์น รูนีย์ และ คาร์ลอส เตเบซ แฟน “เรด เดวิลส์” น่าจะอยากเห็นทีมรักเปิดเกมบุกใส่เต็มรูปแบบมากกว่า

ทางฝั่ง อัฟราม แกรนท์ นายใหญ่ชาวอิสราเอล ที่พาเชลซีเข้าชิงเจ้ายุโรปเป็นครั้งแรก ก็มั่นใจว่าน่าจะคว่ำ แมนฯยู ได้อีกครั้ง “พวกเขาอยากคว้าแชมป์ เราเองก็เช่นกัน ไม่มีทีมไหนได้เปรียบก่อนเริ่มเกม ผมมั่นใจว่าเราสามารถเอาชนะ ยูไนเต็ด เราเอาชนะพวกเขาที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมาเหนือกว่าเราในเกมแบบนี้หรอก รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะทำให้เกิดความแตกต่าง มันน่าตื่นเต้นมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่สโมสรผมได้เข้าชิงแชมเปียนส์ ลีก”

แกรนท์ ค่อนข้างได้รับคำชมอย่างมาก หลังมารับงานแทนที่ของ โฮเซ มูรินโญ เมื่อปลายปีที่แล้ว ท่ามกลางความกดดันแสนสาหัสและถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่ปริปากบ่นจนพาทีมเบียดแชมป์กับ แมนฯยู ถึงบั้นปลายทั้ง 2 ถ้วย ซึ่งเจ้าตัวก็พร้อมลงจากเก้าอี้เพื่อเปิดทางให้กับกุนซือคนใหม่เข้ามาคุมทัพแทนในช่วงซัมเมอร์นี้

เกมนี้ เชลซี น่าจะได้ จอห์น เทอร์รี กองหลังกัปตันทีมที่ข้อศอกเคลื่อนในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่เสมอกับ โบลตัน วันเดอเรอร์ รวมถึง ดิดิเยร์ ดร็อกบา ดาวยิงตัวเก่งที่เจ็บเข่า ออกสตาร์ทเป็นตัวจริง นอกจากนี้ไฮไลท์น่าจะอยู่ที่ มิเชล บัลลัค กัปตันทีมชาติเยอรมัน ที่อยากจะลบฝันร้ายเมื่อครั้งคว้าทริปเปิลรองแชมป์กับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน ในปี 2002 หลังจากในปีนี้ส่อแววประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเพราะคว้าดับเบิลรองแชมป์มาแล้ว

ส่วนในเรื่องของกรรมการแน่นอนว่า เชลซี น่าจะออกอาการเสียวสันหลังวาบ เมื่อ ยูฟ่า มอบให้ ลูบอส มิเชล ทำหน้าที่ในวันพุธนี้ ซึ่งเมื่อปี 2005 เชิ้ตดำชาวสโลวาเกีย คนนี้เป็นผู้ชี้ขาดให้ลูกยิงของ หลุยส์ การ์เซีย ดาวเตะ ลิเวอร์พูล ข้ามเส้นส่งให้ “สิงห์บลูส์” ตกรอบรองชนะเลิศ ซึ่งยังคงเถียงกันจนถึงทุกวันนี้ว่าลูกนั้นเป็นประตูไปหรือยัง

ฟันธง ตรงเผง โดย เซียนไก๋ เจริญกรุง
ผีถึงฝั่งฝัน 2-1