xs
xsm
sm
md
lg

“หงส์” พลิกวิกฤต บุกกรุงมอสโก / เซียนไก๋

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เคาท์ ยิงประจำในถ้วยยุโรป
เชลซี มีโอกาสดีที่สุดที่จะผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ ยูฟา แชมเปียนส์ ลีก เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร หลังเกมแรกบุกไปฉกอะเวย์โกล์ออกจากรัง แอนฟิลด์ แต่ถึงกระนั้นก็ตามนัดสองในวันพุธที่ 30 เมษายนนี้ จะประมาท ลิเวอร์พูล อดีตแชมป์ 5 สมัยไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นทีมที่เขี่ยพวกเขาตกรอบตัดเชือกมาแล้ว 2 ใน 3 ปีหลังสุด

เหลือเชื่อที่ทั้งคู่เจอกัน 4 ปีรวดในถ้วยยุโรป ที่สำคัญ เป็นการพบกันในรอบรองชนะเลิศถึง 3 ครั้ง หนแรกเมื่อปี 2005 ลิเวอร์พูล ชนะด้วยสกอร์รวม 1-0 จากประตูของ หลุยส์ การ์เซีย ที่ไม่แน่ว่าข้ามเส้นไปหรือยัง ล่าสุด ปีที่แล้ว เชลซี ชนะในบ้าน 1-0 ก่อนบุกไปพ่ายด้วยสกอร์เดียวกัน สุดท้ายแพ้จุดโทษตกรอบไป ส่วนปีนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวหรือก้อย

ว่ากันว่า การเล่นแบบน็อกเอาต์ได้เป็นเจ้าบ้านในนัดที่สองถือว่าได้เปรียบมหาศาล ซึ่งที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล ได้เล่นใน แอนฟิลด์ นัดสองทั้ง 2 ฤดูกาลที่เอาชนะ เชลซี จนผ่านเข้าชิงได้สำเร็จ ส่วนปีนี้น่าสนใจเพราะ “หงส์แดง” จะต้องมาเล่นที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เพื่อชี้ชะตา แถมเป็นรองแบกความกดดันต้องยิงประตูให้ได้สถานเดียวเท่านั้น

แต่ว่าในถ้วยยุโรปฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล มีผลงานการออกไปเยือนที่ยอดเยี่ยมยิงได้ทุกนัดในการออกไปเป็นฝั่งอาคันตุกะ ไล่ตั้งแต่ 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่มกับ ปอร์โต, เบซิคตัส และ โอลิมปิก มาร์กเซย์ รวมถึง 2 รอบที่ผ่านมายิงได้ที่ จูเซ็ปเป เมียซซา ของอินเตอร์ มิลาน และที่ เอมิเรตส์ สเตเดียม ของอาร์เซนอล รวม 5 นัด 8 ลูก

ทำให้ เดิร์ก เคาท์ หอกเลือดดัตช์ ที่เป็นคนยิงขึ้นนำ 1-0 ที่ แอนฟิลด์ ในนัดแรก ซึ่งถือเป็นประตูที่ 5 ในถ้วยยุโรปฤดูกาลนี้ เชื่อมั่นว่า ลิเวอร์พูล จะบุกไปยิงได้ที่บ้าน เชลซี แม้ว่า 8 นัดของ “หงส์แดง” ภายใต้การคุมทัพของกุนซือ ราฟาเอล เบนิเตซ ตั้งแต่ฤดูกาล 2004-2005 จะยิงที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้เลยแม้แต่ลูกเดียวก็ตาม

“เราผิดหวังกับผลในเกมแรก แต่ก็พร้อมในเกมสัปดาห์หน้า ทุกคนบอกว่าเรายิงไม่ได้ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ มานานแล้ว แต่เราก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสามารถยิงได้ในเกมเยือนถ้วยยุโรปฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่อิตาลี และ เอมิเรตส์ สเตเดียม ทำให้เราเชื่อว่าจะยิงได้ในสัปดาห์หน้า พร้อมกลับผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศได้แน่นอน” อดีตดาวยิงเฟเยนูร์ด เผย

แต่ก็ต้องถือว่า เชลซี มีดวงไม่น้อย เพราะจากเกมนัดแรกโดนบุกหลังพิงฝา แต่สุดท้ายได้ ยอห์น อาร์เน รีเซ สงเคราะห์โหม่งประตูตัวเองในช่วงทดเจ็บตีเสมอให้ 1-1 รวมถึงในเกม พรีเมียร์ชิป เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็มาได้ประตูชัยเฉือนชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-1 จากจุดโทษในช่วงท้ายเกม ทำให้ยังมีลุ้นดับเบิลแชมป์อยู่ชนิดที่ใครก็จะประมาทไม่ได้

ทำให้เรียกได้ว่า เชลซี ค่อนข้างพร้อมทั้งสภาพจิตใจที่ฮึกเหิม รวมถึงทีมที่ปึ้กสุดขีด เพราะจะได้ มิเชล เอสเซียง กองกลางพันธุ์ถึกที่ติดโทษแบนในเกมแรกคืนสนาม รวมถึง แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ไม่ได้เล่นในเกมชนะ แมนฯยู เนื่องจากแม่เสียชีวิต แม้ทำใจกลับมาซ้อมได้แล้ว แต่กุนซือ อัฟราม แกรนท์ ก็ให้นักเตะตัดสินใจเองว่าจะลงเล่นในเกมนี้หรือไม่

“ทุกคนเสียใจกับ แฟรงค์ คุณได้เห็นปฏิกิริยาของเราหลังยิง แมนฯยู แล้ว เราเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ เราทุกคนเศร้าใจกับการสูญเสีย และจะปล่อยให้การตัดสินใจเกี่ยวกับเกมในวันพุธนี้ขึ้นอยู่กับตัวเขาเอง ผมจะเคารพการตัดสินใจทุกอย่างของเขา ฟุตบอลเป็นเกมที่น่าตื่นเต้น แต่มีเรื่องอื่นที่มีความสำคัญมากกว่า” กุนซือชาวอิสราเอล เผย

ส่วนสภาพทีมของ ลิเวอร์พูล ก็ไร้ปัญหา หลังจากพัก เฟอร์นานโด ตอร์เรส, สตีเวน เจอร์ราร์ด, เคาท์, ชาบี อลอนโซ, ฮาเวียร์ มาสเชราโน, ไรอัน บาเบล และ เจมี คาร์ราเกอร์ ในเกมลีกที่เสมอกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี 2-2 แต่ รีเซ แบ็กซ้ายเท้าหนัก ได้ลงสนามเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจและต้องลุ้นว่าจะได้เล่นหรือไม่ เพราะว่า ฟาบิโอ ออเรลิโอ เจ็บต้องพักยาว

สุดท้ายทั้งสองทีมมีนักเตะคาดโทษใบเหลืองที่หากโดนอีกใบจะอดลงเล่นในนัดชิงที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ในวันที่ 21 พฤษภาคมนี้ ก็คือ จอห์น เทอร์รี กัปตันทีม เชลซี ส่วน ลิเวอร์พูล มีถึง 3 ราย ก็คือ คาร์ราเกอร์, เจอร์ราร์ด และ ออเรลิโอ ที่เจ็บยาวแล้ว เรียกว่าน่าจะเกร็งกันบ้าง เพราะมาไกลขนาดนี้ทุกคนล้วนต้องอยากลงเล่นในนัดชิงกันทั้งนั้น

ถือเป็นบททดสอบของ ลิเวอร์พูล หากต้องการเข้าชิงเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปี ก็ต้องทุบสถิติยิงประตูในถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ ให้ได้ ส่วน เชลซี โอกาสอยู่ในมือแล้วอยู่ที่ว่าจะฉวยเอาไว้ได้หรือไม่ ดูแล้วเป็นเกมที่เบียดและคู่คี่สูสีมากๆ แต่สุดท้ายยังเชื่อใจ “หงส์แดง” ที่น่าจะมีทีเด็ดจาก ตอร์เรส แต่อาจต้องลุ้นถึงช่วงต่อเวลาเพื่อหาทีมเข้าชิง

ฟันธง ตรงเผง โดย เซียนไก๋ เจริญกรุง
1-1 ต่อเวลา หงส์ ลิ่วชิง

เจอร์ราร์ด-แอชลีย์ โคล ศึกสายเลือด
รีเซ ผู้ร้ายจากเกมแรก
เบนิเตซ (ซ้าย) ต้องโชว์กึ๋นอีกครั้ง
กำลังโหลดความคิดเห็น