xs
xsm
sm
md
lg

‘ผีแดง’ ดวลเป้าเฉือนสิงห์บลูส์ผงาดเจ้ายุโรปสมัยที่ 3

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขุนพลแข้ง “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผงาดครองจ้าวยุโรปสมัยที่ 3 ในประวัติศาสตร์ทีม หลังฝ่าสายฝนดวลเป้าเอาชนะ “สิงห์บลูส์” เชลซี ไปได้ 6-5 หลังเสมอกันใน 120 นาที 1-1

ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-1 เชลซี
(120 นาทียังเสมอกัน ดวลจุดโทษ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 6-5 คว้าแชมป์)

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จ้าวยุโรปประจำฤดูกาล 2007/08
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หวังนำขุนพลแข้ง “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครองจ้าวยุโรปเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปีจากโศกนาฏกรรมของสโมสรที่มิวนิค แต่เกมนี้มีการเปลี่ยนแท็คติกเล็กน้อยถอด ปาร์ค จี ซอง ที่ผลงานโดดเด่นในฟุตบอลยุโรปและก็เติม โอเวน ฮาร์กรีฟส์ มาช่วยเกมแดนกลางและก็หวังทีเด็ดจาก คริสเตียโน โรนัลโด เหมือนเดิม ด้าน อัฟราม แกรนท์ ต้องการพา “สิงห์บลูส์” เชลซี ขึ้นครองเจ้ายุโรปเป็นครั้งแรกในการเข้าชิงตั้งแต่ปีแรก นัดนี้ได้ แอชลีย์ โคล ที่เจ็บข้อเท้าในการฝึกซ้อมเมื่อวานผ่านความฟิตกลับมาลงสนามช่วยเกมรับ ส่วนแนวรุกมากันเต็มสูบทั้ง แฟรงค์ แลมพาร์ด, มิชาเอล บัลลัค และดิดิเยร์ ดร็อกบา
เพื่อนผียินดีกับ หนูโด้ ที่โขกนำ 1-0
เริ่มเกมการแข่งขัน เชลซี ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นหลังพลาดหวังในพรีเมียร์ชิปพยายามเดินเกมบุกเพื่อกดดันใส่ แมนฯ ยูไนเต็ด ทันทีแต่แชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษยังค่อนข้างมีสมาธิในเกมรับ ผ่าน 10 นาทีแรกกลายเป็น แมนฯ ยูไนเต็ด ที่สามารถตั้งเกมครองบอลได้เหนือกว่าทว่าทั้งสองทีมยังไม่มีการผลีผลามแต่อย่างใด ห้านาทีถัดมา คริสเตียโน โรนัลโด เริ่มกระชากลากเลื้อยเล่นงาน มิคาเอล เอสเซียง ที่ถูกถอยต่ำไปยืนเป็นแบ็กขวาจำเป็น ก่อนที่จะเปิดไปเสาสองเลยทาง โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ ที่เตรียมเข้าทำไปอย่างน่าเสียดาย

นาทีที่ 20 นักเตะทั้งสองทีมเกือบมีเรื่องกันจากจังหวะที่ โคลด มาเกเลเล กำลังจะสวนขึ้นไปแต่โดน พอล สโคลส์ กระโดดเข้าไปกระแทก อย่างไรก็ตามกลับเป็น สโคลส์ ที่มีเลือดกำเดาไหลออกมาและทั้งคู่ก็ได้รับใบเหลืองจาก ลูบอส มิเชล ผู้ตัดสินชาวสโลวัก สองนาทีถัดมาแฟนๆ “ผีแดง” เสียววูบไปเหมือนกันเมื่อ ฮาร์กรีฟส์ พลาดเสียบอลในแดนตัวเอง แฟรงค์ แลมพาร์ด หยอดบอลเร็วกะให้ ดิดิเยร์ ดร็อกบา เข้าชาร์จแต่ เนมันยา วิดิช พุ่งเข้ามาโหม่งตัดหน้าเกือบเข้าประตูตัวเองไปเหมือนกัน

แต่ถึงนาทีที่ 26 แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ฉวยโอกาสขึ้นนำ 1-0 เมื่อ เวส บราวน์ ไปทุ่มและก็เล่นชิ่งกับ สโคลส์ ก่อนเปิดด้วยซ้ายเข้ามาให้ โรนัลโด หนี เอสเซียง กระโดดสะบัดหัวขวิดบอลเข้ามุมตาข่ายอย่างสวยงามหมดสิทธิที่ ปีเตอร์ เช็ก จะได้ขยับตัว อย่างไรก็ตาม อีกแปดนาทีถัดมา เชลซี เกือบได้ประตูตีเสมอเหมือนกันจากการที่ ดร็อกบา เปิดเข้ากลางให้ มิชาเอล บัลลัค กดดันจน ริโอ เฟอร์ดินานด์ เกือบโขกสกัดเข้าประตูตัวเอง นาทีที่ 35 “ผีแดง” พลาดโอกาสทิ้งห่างเช่นกันจากจังหวะสวนกลับ โรนัลโด เปิดให้ คาร์ลอส เตเบซ พุ่งโหม่งติดเซฟ เช็ก ไปเข้าทาง ไมเคิล คาร์ริค ซ้ำเน้นๆ แต่ก็ยังเป็น เช็ก ที่โชว์ซูเปอร์เซฟ
แลมพ์ ซัดเจ๊า 1-1 ให้สิงห์บลูส์
ท้ายครึ่งแรก “สิงห์บลูส์” มีลุ้นบ้างจากฟรีคิกบริเวณเส้นกรอบโทษแต่ บัลลัค ปั่นบอลข้ามคานไป อย่างไรก็ตาม ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ เชลซี ตามตีเสมอสำเร็จ 1-1 จนได้เมื่อ เอสเซียง ลองซัดไกลบอลไปแฉลบเท้า วิดิช มากระดอนหลัง เฟอร์ดินานด์ ทำให้ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เสียจังหวะเลยโดย แลมพาร์ด ตามเข้ามาซ้ำเหน่งๆ เข้าไป จบ 45 นาทีแรกที่ลุซนิกิ สเตเดี้ยม ในกรุงมอสโคว์ ประเทศรัสเซีย เกมค่อนข้างสูสีเหลือมไปทาง แมนฯ ยูไนเต็ด เล็กๆ แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบในเรื่องของสกอร์

ลงมาลุยต่อในครึ่งหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เดินเกมบุกต่อจากครึ่งแรกแต่ก็โดน เชลซี คอยกดดันตามประกบติด นาทีที่ 54 เป็น “สิงห์บลูส์” ที่เกือบขึ้นนำเมื่อ เอสเซียง เติมเกมรุกขึ้นไปก่อนใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเบียดบอลจากกองหลัง “ผีแดง” หักเข้าในปั่นด้วยซ้ายแต่บอลเหินข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย เริ่มเป็น เชลซี ที่ได้ทำเกมบุกขึ้นมาใส่อย่างต่อเนื่องบ้าง บัลลัค เห็นกองหลังคู่แข่งถอยลึกจึงลองซัดไกลบอลไม่ตรงกรอบ หนึ่งชั่วโมงผ่านไปจากการพัฒนาในเกมขึ้นมาของ เชลซี ทำให้ดูเหมือนว่าเกมของ แมนฯ ยูไนเต็ด ตีบตันลงไป

นาทีที่ 65 เชลซี ได้ลูกเตะมุม แลมพาร์ด ปั่นเข้ามาตรงกลาง ฟาน เดอร์ ซาร์ ออกมาชกบอลไม่ถึงยังดีที่ จอห์น เทอร์รี โหม่งบอลข้ามคาน เข้าสู่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายแฟนๆ “สิงห์บลูส์” พยายามร้องเอาจุดโทษจากผู้ตัดสินหลังเห็น ฟลอรองต์ มาลูดา โดน เฟอร์ดินานด์ เตะสะกิดล้มลงไปแต่เชิ้ตดำจากสโลวาเกียยังใจแข็งไม่เป่าให้ อีกสองนาทีถัดมา เชลซี เกือบได้เฮเมื่อ ดร็อกบา ซึ่งแทบไม่มีโอกาสในช่วงที่ผ่านมาได้ยิงด้วยขวาส่งลูกหนังพุ่งกระแทกเสาออกหลังไป นาทีที่ 81 แมนฯ ยูไนเต็ด ลองได้ซัดบ้างจาก คาร์ลอส เตเบซ แต่บอลพุ่งหลุดเสา
ดร็อกบา เสียท่าโดนใบแดง
เข้าสู่ช่วง 5 นาทีสุดท้าย เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ขยับแก้เกมให้ “ผีแดง” ก่อนด้วยการส่ง ไรอัน กิกส์ มาทำงานแดนกลางแทน สโคลส์ ซึ่งสมหวังได้เล่นในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก หลังจากที่ปี 1999 เคยพลาดเนื่องจากติดโทษแบน ส่วนทาง “ปีกพ่อมด” ก็ทำสถิติใหม่ลงสนามให้ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นประวัติศาสตร์นัดที่ 759 แซงหน้าทาง เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ครบ 90 นาทีทั้งสองฝ่ายยังทำเพิ่มกันไม่ได้ต้องเล่นในช่วงต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที

เริ่มช่วงต่อเวลาครึ่งแรก อัฟราม แกรนท์ ขยับเปลี่ยนเกมให้ เชลซี บ้างด้วยการปล่อย ซาโลมอน คาลู มาช่วยทำเกมบุกแทน มาลูดา นาทีที่ 94 เชลซี เกือบจะได้นำเมื่อ บัลลัค แทงบอลให้ แลมพ์ ในกรอบโทษก่อนหมุนตัวยิงส่งบอลกระแทกคานออกมาอีก จากนั้นทีมก็ให้ นิโกลาส์ อเนลกา ลงมาเล่นแทน โจ โคล แต่อีกหกนาทีถัดมา แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะได้ประตูนำเช่นกันเมื่อ ปาทริซ เอวรา เติมเกมรุกขึ้นมาก่อนตบเข้ากลางให้ กิกส์ ยิงเน้นๆ แต่เป็น เทอร์รี ที่ขวิดบอลออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิดที่สุด จากนั้น “ผีแดง” เปลี่ยนเอา หลุยส์ นานี มาเติมความสดในเกมรุกและก็ถอด เวย์น รูนีย์ ที่ไม่มีบทบาทกับเกมออกมา ผ่านไปครึ่งหนึ่งสกอร์ยังไม่ขยับจาก 1-1

ลุยต่อกันในช่วงต่อเวลาครึ่งหลัง ทั้งสองทีมดูระวังตัวกันมากขึ้นแต่ “สิงห์บลูส์” ก็มีโอกาสจากฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลาในนาทีที่ 111 แต่ ดร็อกบา ตะบันด้วยขวาหลุดกรอบไป เข้าสู่ช่วงท้ายเกมตะคริวเริ่มถามหานักเตะเชลซี ที่วิ่งกันสุดฤทธิ์ แต่ก่อนหมดเวลาแค่ 3 นาทีนักเตะทั้งสองฝ่ายกรูเข้าหากันเนื่องจากเกี่ยงว่าใครต้องทุ่มคืนให้ฝ่ายไหนทำให้ ดร็อกบา ฟิวส์ขาดเอามือไปตบหน้า วิดิช จึงโดนใบแดงไล่ออกจากสนามไป จากนั้นทั้งสองฝ่ายเปลี่ยนเอามือดวลเป้าลงมาทั้ง จูเลียโน เบลเล็ตติ และอันแดร์สัน ครบ 120 นาที เชลซี 10 คนยันเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด

ต้องตัดสินการชิงชัยศึกลูกหนังยุโรปถ้วยใบใหญ่ปีนี้ด้วยการดวลจุดโทษ ซึ่งก็ปรากฏว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เอาชนะ เชลซี ไปได้ 6-5 คว้าครองจ้าวยุโรปสมัยที่ 3 ต่อจากปี 1968 และ 1999 เป็นทริปเปิลแชมป์หากรวม คอมมูนิตี ชิลด์ กับ พรีเมียร์ชิป และก็ช่วยให้อังกฤษเป็นชาติที่ 3 ต่อจากสเปนและอิตาลีที่ครองจ้าวยุโรป 11 สมัย ขณะที่ “สิงห์บลูส์” สุดชอกช้ำพลาดทั้ง 3 เกมในนัดชิงแชมป์เริ่มจากคอมมูนิตี ชิลด์, คาร์ลิ่ง คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

สรุปการดวลเป้าของทั้งสองทีม แมนฯ ยูไนเต็ด : เตเบซ (เข้า) คาร์ริค (เข้า) โรนัลโด (พลาด) ฮาร์กรีฟส์ (เข้า) นานี (เข้า) อันแดร์สัน (เข้า) กิกส์ (เข้า) ขณะที่ เชลซี : บัลลัค (เข้า) เบลเล็ตติ (เข้า) แลมพาร์ด (เข้า) อ.โคล (เข้า) เทอร์รี (พลาด) คาลู (เข้า) อเนลกา (พลาด)

รายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของทั้งสองทีม
แมนฯ ยูไนเต็ด
: เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์, เวส บราวน์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมันยา วิดิช, ปาทริซ เอวรา, โอเวน ฮาร์กรีฟส์, พอล สโคลส์, ไมเคิล คาร์ริค, คริสเตียโน โรนัลโด, เวย์น รูนีย์, คาร์ลอส เตเบซ

เชลซี : ปีเตอร์ เช็ก, มิคาเอล เอสเซียง, จอห์น เทอร์รี, ริคาร์โด คาร์วัลโญ, แอชลีย์ โคล, แฟรงค์ แลมพาร์ด, โคลด มาเกเลเล, มิชาเอล บัลลัค, โจ โคล, ดิดิเยร์ ดร็อกบา, ฟลอรองต์ มาลูดา
กำลังโหลดความคิดเห็น