ทันทีที่เสียงนกหวีดจากกรรมการเป่าหมดเวลา 90 นาทีในเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชีย กลุ่มบี นัดที่ 2 ระหว่างทีมชาติไทยกับทีมชาติโอมาน ซึ่งลงเอยด้วยความพ่ายแพ้คาถิ่น 0-1 ของขุนพลนักเตะแดนสยาม พลันความหวังสู่ฟุตบอลโลก 2010 ของทีมชาติไทยเกือบจะเรียกได้ว่าหมดโอกาสเกือบร้อยเปอร์เซนต์ และพร้อมกับความปราชัยคาบ้าน “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” หรือ"บิ๊กโต้ง" แสดงสปิริตของผู้จัดการทีมประกาศลาออกจากตำแหน่ง และอำลาแฟนบอลในสนามราชมังคลากีฬาสถานด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา
การรักษาสัญญาลูกผู้ชายของ “บิ๊กโต้ง” จากเหตุการณ์ดังกล่าวอาจไม่ใช่เรื่องที่ทำให้แฟนบอลแปลกใจนักแต่เชื่อว่าลึกๆแล้วทุกคนรู้สึกเสียดายและเป็นกังวลที่คนดีมีฝีมือได้เดินจากวงการลูกหนังไทยไปอีกหนึ่งราย และภายหลังการประกาศของ กิตติรัตน์ ผ่านไปเพียง 5 วันสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยได้เรียกประชุมทีมงานเพื่อกำหนดกับทิศทางของทีมชาติที่เหลืออยู่
ในวันดังกล่าวหลายคนหวังจะได้พบกับอดีตผู้จัดการทีมชาติ แต่ของฝากจาก กิตติรัตน์ ที่มอบหมายให้เลขานุการส่วนตัวมายื่นให้ นายกสมาคมฟุตบอลฯ วรวีย์ มะกูดี คือจดหมายลาออกอย่างเป็นทางการพร้อมกับ ผู้ช่วยผู้จัดการทีมอย่าง “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน สองคู่ซี้จาก“อัสสัมชัญ” ที่ต่างมีต้นทุนทางสังคมและชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมาตรฐานการบริหารงาน
แต่ดูเหมือนว่าการลาออกของ “กิตติรัตน์” จะไม่ได้กระทบกระเทือนความรู้สึกของนายกสมาคมลูกหนังไทยอย่าง “วรวีร์ มะกูดี” สักเท่าไรนักนอกจากออกมากล่าวขอบคุณกับงานที่ช่วยทำตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันก็ได้กล่าวถึงเก้าอี้ที่ว่างลงว่า "เรายังมีเวลาอีกมากก่อนที่เกมนัดที่ 3 กับบาห์เรนจะมีขึ้น ดังนั้นในตอนนี้สมาคมฯจะยังไม่รีบแต่งตั้งใครมาทำหน้าที่ผู้จัดการทีมแทนคุณกิตติรัตน์ ซึ่งผมคิดว่าในประเทศของเรานั้นมีคนที่เหมาะสมกับตำแหน่งอยู่หลายราย แต่จะมีการแต่งตั้งในช่วงเวลาใดก็ต้องรอดูความเหมาะสมอีกครั้ง โดยในช่วงนี้จะให้คุณชาญวิทย์ ผลชีวิน ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอน และจะให้เป็นหัวหน้าคณะทำงานไปด้วย ส่วนงานด้านธุรการก็จะให้คุณองอาจ ก่อสินค้า เลขาธิการสมาคมฟุตบอลทำหน้าที่แทนไปก่อน”
แม้ว่าสมาคมฯจะไม่รู้สึกร้อนหนาวต่อการลาออกของกิตติรัตน์ ณ ระนอง และยังไม่ยอมแต่งตั้งผู้มาทำหน้าที่แทน แต่ในความเป็นจริงแล้วตำแหน่งผู้จัดการทีมนั้นคือตัวประสานงานระหว่างสมาคมฯ กับ ทีมชาติและเป็นผู้เติมสิ่งที่ทีมขาดให้เต็ม ซึ่งเห็นได้จากการทำงานของ “บิ๊กโต้ง” ตลอดระยะเวลาที่คุมทีมชาติไทย เมื่อขาดผู้ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวและมอบหมายให้โค้ชชาญวิทย์ มาควบรวมในตำแหน่งที่เรียกว่าต้องใช้หลักของการจัดการ หลายฝ่ายมองว่าอาจกระเทือนต่อการควบคุมทีม
ดังเช่นความคิดเห็นของ “เสือเตี้ย” สะสม พบประเสริฐ อดีตกองกลางทีมชาติไทย ที่มองว่าการลาออกของ กิตติรัตน์ แม้จะไม่กระทบเป็นวงกว้างแต่ก็ทำให้ทีมมีอาการแกว่งมิใช่น้อยเพราะภาระที่มอบให้กับ “อ.ชาญวิทย์” เพิ่มนั้นจะเพิ่มความยุ่งยากให้มีมากขึ้นและ “โค้ชหรั่ง” เองก็จะทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอดีตทีมชาติไทยได้แสดงความคิดเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า “อันที่จริงแล้วถ้าเวลานี้ยังหาคนทำหน้าที่แทนพี่โต้งไม่ได้ ก็น่าจะแต่งตั้งผู้อำนวยการทีมมารับผิดชอบระบบการจัดการไปก่อน เพราะถ้าให้อ.ชาญวิทย์ ต้องมาทำหน้าที่เพิ่มอาจเกิดความกระทบกระเทือนต่อภาพรวมทั้งหมดของทีม”
นอกจากนี้อดีตทีมชาติที่หันมาเอาดีในฐานะนักวิเคราะห์ฟุตบอลทาง “ทรูวิชั่น” ยังทิ้งท้ายถึงโอกาสที่ทางสมาคมฯออกมาคาดหวังเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า “มันเป็นเรื่องยากลำบากมากกับผลงานที่เหลือให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้เพราะส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่ามาตรฐานของนักฟุตบอลไทยได้เพียงเท่านี้จะให้ทำผลงานได้ดีไปกว่านี้ ทางสมาคมฯต้องวางแผนในระยะยาวมิใช่คิดกันแบบ 4 ปีครั้ง”
ในอารมณ์ที่คล้ายกันกับ “สะสม พบประเสริฐ” เมื่อทีมข่าวกีฬาผู้จัดการรายวันได้สอบถามไปยัง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตศูนย์หน้าทีมชาติที่เคยร่วมงานกับ “บิ๊กโต้ง” เจ้าตัวได้กล่าวถึงการอำลาตำแหน่งในครั้งนี้ว่า
“บอกได้คำเดียวว่าน่าเสียดายเพราะการทำงานของพี่โต้งนั้นรู้กันหมดทั้งทีมว่าเต็มร้อยทุกครั้ง ใจจริงแล้วเชื่อว่าทุกคนในทีมอยากให้พี่โต้งอยู่ทำทีมต่อเพราะตลอดเวลา 10 เดือนที่ผ่านมาการทำงานเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แม้ว่าผลงานของทีมชาติจะไม่เป็นไปอย่างที่หลายคนคาดหวัง แต่แฟนบอลก็ยอมรับได้เพราะมาตรฐานของทีมชาติชุดนี้ถือว่าดีมากเพียงแต่ทีมอื่นเขาพัฒนาไปมากกว่าเรา”
“การอำลาตำแหน่งของพี่โต้งถือว่าเป็นการรักษาสัญญาลูกผู้ชาย และส่วนหนึ่งผมเชื่อว่าน้องๆในทีมที่ได้ร่วมงานกับผู้จัดการคนนี้ต้องรู้สึกใจหายและมีแกว่งไปบ้าง แต่เวลานี้ทุกคนต่างก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เวลานี้คงไม่ต้องไปหวังผลไกลเรื่องไปบอลโลก แต่ในสี่นัดที่เหลือต่อจากนี้อยากให้ทุกคนเล่นให้ดีที่สุดน่าประทับใจมากที่สุดไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรผมเชื่อว่าแฟนบอลไทยจะเข้าใจ”
นี่คือบทสรุปของผู้ชายที่ชื่อ กิตติรัตน์ ณ ระนองหลังจากนั่งอยู่นำตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติเป็นเวลา 10 เดือนแต่เป็น 10 เดือนที่ทุกคนรู้ดีว่าเขาทุ่มเททั้งกายและใจขนาดไหน แม้สมาคมฯจะเชื่อว่าจะไม่เกิดผลกระทบในวงกว้างจากการลาออกครั้งนี้ แต่จากความคิดเห็นและรูปการของผู้ที่เคยคลุกคลีและเกี่ยวข้องต่างมองตรงข้ามและเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า ทีมชาติไทยที่ไร้ “บิ๊กโต้ง” น่าจะเกิดแรงกระเพื่อมในหัวใจของนักเตะทุกคนอย่างแน่นอน