โจนาธาน วู้ดเกต รับบทพระเอกให้กับ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ด้วยการโขกทำประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษช่วยให้เฉือนเอาชนะ เชลซี ไปอย่างสนุกตื่นเต้น 2-1 คว้าแชมป์คาร์ลิง คัพ มาครองได้สำเร็จ และถือเป็นถ้วยแชมป์ใบแรกของ ฮวนเด้ รามอส ในฐานะกุนซือไก่เดือยทองด้วย
ฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2551
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 1 – 1 เชลซี (ต่อเวลาพิเศษ สเปอร์ส ชนะ 2-1)
ศึกชิงแชมป์รายการแรกประจำฤดูกาล 2007/2008 ของเมืองผู้ดี คาร์ลิง คัพ รอบชิงชนะเลิศที่สนามนิว เวมบลีย์ เป็นศึกลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ ระหว่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กับ เชลซี เกมนี้ ฮวนเด้ รามอส ดร็อป ราเด็ค แชร์นี่ เป็นตัวสำรองแล้วให้ พอล โรบินสัน กลับมาเฝ้าเสาครั้งแรกในรอบ 10 นัด ขณะที่คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟก็ได้ โจนาธาน วู้ดเกต กับ เล็ดลีย์ คิง กลับมาประจำการในแนวรับพร้อมกัน
ด้าน อัฟราม แกรนท์ ก็ใส่ชื่อ จอห์น เทอร์รี่ กลับมาคุมแดนหลังอีกครั้ง เช่นเดียวกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ได้ลงขับเคลื่อนเกมตรงกลาง โดยที่ในแดนหน้าส่งทั้ง ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ นิโกลาส์ อเนลก้า ลงล่าตาข่ายพร้อมกัน
หลังจากเขี่ยลูกเริ่มเล่นมาได้เพียง 22 วินาที ไก่เดือยทองก็เกือบได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว เมื่อ จูเลียโน่ เบลเล็ตติ จ่ายบอลขวางสนามพลาดถูก ร็อบบี้ คีน ฉกไปได้ก่อนพาบอลเข้าเข่นหน้าเขตโทษ แต่ยังมี เทอร์รี่ พุ่งเข้ามาบล็อกลูกแฉลบออกหลังไปได้ ก่อนที่ อารอน เลนนอน จะเปิดลูกเตะมุมเข้ามาให้ เบอร์บาตอฟ โหม่งชงให้ คิง ตวัดยิงตามน้ำข้ามคานออกไป
สเปอร์ส ได้ใจบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 9 ร็อบบี้ คีน หลอกล่อ เบลเล็ตติ ก่อนโยนเข้ามาหน้าประตูให้ เบอร์บาตอฟ เทกตัวขึ้นโขกคนเดียว แต่สะบัดศีรษะมากเกินไป ลูกจึงหลุดออกไปทางเสาสองอย่างน่าเสียดาย
เกมรุกของ สเปอร์ส ยังคงวูบวาบ นาทีที่ 28 ร็อบบี้ คีน บังบอล ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ แถวเส้นเขตโทษก่อนจ่ายคืนให้ สตีด มัลบรองก์ สอดเข้ามากดเน้นๆ บอลทำท่าจะเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ ปีเตอร์ เช็ก ยังปฏิกิริยาว่องไวล้มตัวปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้น เชลซี ได้บุกบ้างแต่ยังเจาะเข้าไปลุ้นทำประตูในกรอบเขตโทษไม่ได้ ต้องอาศัยลูกฟรีคิกในการเข้าทำ นาทีที่ 31 ดร็อกบา ถูก วู้ดเกต ดักล้มลง ก่อนที่ แลมพาร์ด จะตะบันเต็มแรง แต่บอลไปแฉลบ วู้ดเกต ข้ามคานออกหลัง ก่อนที่ ดร็อกบา จะได้ซัดบ้างใน 2 นาทีต่อมา แต่ลูกยังไม่โค้งเข้าหากรอบประตู
ทว่าหนที่ 3 ในนาทีที่ 39 ดร็อกบา ก็สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ได้สำเร็จจากจังหวะที่ถูก ดิดิเยร์ โซโกร่า กระแทกล้มลงในระยะประมาณ 25 หลา ซึ่งหัวหอกไอวอรี่โคสต์จัดการปั่นอ้อมกำแพง เสียบมุมอย่างสวยงามโดยที่ พอล โรบินสัน หลงทางได้แต่ยืนขาตาย
ไก่เดือยทอง เกือบได้คืนอย่างทันควัน ร็อบบี้ คีน เบียดกับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ แถวเส้นเขตโทษก่อนจะพลิกบอลหาช่องซัดจนได้ แต่ ปีเตอร์ เช็ก ยืนดักทางเอาไว้แล้วจึงล้มตัวรับสบาย หมดครึ่งแรก สิงห์บลูส์ กุมความได้เปรียบด้วยสกอร์ที่นำอยู่ 1-0
เข้าสู่ครึ่งเวลาหลังต่างฝ่ายต่างมีโอกาสทำประตูกันน้อยโดยส่วนมากจะเป็นการชิงไหวชิงพริบกลางสนามมากกว่า กระทั่งนาทีที่ 69 สเปอร์ส ก็มาได้ประตูตีเสมอ 1-1 จนได้ เมื่อ เลนนอน โยนจากด้านซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้ ทอม ฮัดเดิลสตัน ตัวสำรองที่เพิ่งลงมาแทน ปาสกาล ชิมบงด้า จับบอลลงก่อนถูก เวย์น บริดจ์ เข้ามาพัวพันซึ่งผู้กำกับเส้นตาไว เห็นว่าแบ็กซ้ายเชลซีใช้มือปัดบอลก่อนเคลียร์ทิ้ง ผู้ตัดสิน มาร์ค ฮัลซีย์ จึงเป่าให้เป็นจุดโทษ และ เบอร์บาตอฟ ก็รับหน้าที่สังหารเข้าไปอย่างนิ่มนวลโดยหลอก ปีเตอร์ เช็ก พุ่งผิดทาง
นาทีที่ 81 ไก่เดือยทองพลาดโอกาสได้ประตูชัยอย่างน่าเสียดาย เมื่อ โซโกร่า หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปดวลเดี่ยวกับ ปีเตอร์ เช็ก แล้วยิงไปตรงตัวในครั้งแรก ก่อนที่ลูกจะกระดอนมาให้ได้ซัดอีก ทว่าหนที่ 2 กลับยิงข้ามคานไปเอง จากนั้น 3 นาที เบอร์บาตอฟ ก็อาศัยทักษะหมุนตัวหนี เทอร์รี่ หาช่องกดในเขตโทษ แต่ก็ไม่ผ่านมือ เช็ก อีก หมด 90 นาทียังเสมอกันอยู่ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
เพียงแค่ 4 นาทีของช่วงต่อเวลาพิเศษ สเปอร์ส ก็สามารถพังประตูขึ้นนำเป็น 2-1 ได้สำเร็จ เมื่อ เจอร์เมน จีนาส เปิดฟรีคิกเข้ามาหน้าประตู โจนาธาน วู้ดเกต โถมเข้ามาโขกถูก เช็ก ชกบอลได้ ทว่าบอลไปโดนศีรษะของ วู้ดเกต ย้อนกลับเข้าหากรอบก่อนค่อยๆ ข้ามเส้นเข้าไปซุกก้นตาข่าย และเป็นลูกแรกในสีเสื้อไก่เดือยทองของ "วู้ดดี้" ด้วย จากนั้นนาทีที่ 100 แลมพาร์ด ลักไก่ยิงฟรีคิกบริเวณเส้นหลังด้านซ้าย บอลทำท่าจะเสียบสามเหลี่ยมเสาแรกอยู่แล้ว แต่ พอล โรบินสัน ยังไม่เผลอปัดพ้นกรอบประตูได้อย่างหวุดหวิด
ถึงนาทีที่ 123 เชลซี น่าจะได้ประตูตีเสมอ เมื่อ ซาโลมง กาลู ตัวสำรองครองบอลในเขตโทษก่อนแต่งเข้าเท้าซ้ายแล้วบรรจงแป ทว่า พอล โรบินสัน ใช้เท้าเซฟเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ จากนั้น 4 นาที โจ โคล ตัวสำรองอีกราย ได้โอกาสเข่นในเขตโทษบ้าง แต่ก็ยังตรงตัว โรบินสัน กระทั่งครบ 120 นาที สเปอร์ส เป็นฝ่ายเฉือนชนะ เชลซี 2-1 คว้าแชมป์คาร์ลิง คัพ ประจำปี 2008 ไปครอง และถือเป็นแชมป์รายการแรกในอังกฤษของ ฮวนเด้ รามอส ด้วย
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ – พอล โรบินสัน, อลัน ฮัตตัน, โจนาธาน วู้ดเกต, เล็ดลีย์ คิง, ปาสกาล ชิมบงด้า, อารอน เลนนอน, เจอร์เมน จีนาส, ดิดิเยร์ โซโกร่า, สตีด มัลบรองก์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, ร็อบบี้ คีน
เชลซี – ปีเตอร์ เช็ก, จูเลียโน่ เบลเล็ตติ, จอห์น เทอร์รี่, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, เวย์น บริดจ์, จอห์น โอบี มิเกล, มิชาเอล เอสเซียง, แฟรงค์ แลมพาร์ด, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, นิโกลาส์ อเนลก้า, ดิดิเยร์ ดร็อกบา
ฟุตบอลคาร์ลิง คัพ รอบชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2551
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ 1 – 1 เชลซี (ต่อเวลาพิเศษ สเปอร์ส ชนะ 2-1)
ศึกชิงแชมป์รายการแรกประจำฤดูกาล 2007/2008 ของเมืองผู้ดี คาร์ลิง คัพ รอบชิงชนะเลิศที่สนามนิว เวมบลีย์ เป็นศึกลอนดอน ดาร์บี้ แมตช์ ระหว่าง ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ กับ เชลซี เกมนี้ ฮวนเด้ รามอส ดร็อป ราเด็ค แชร์นี่ เป็นตัวสำรองแล้วให้ พอล โรบินสัน กลับมาเฝ้าเสาครั้งแรกในรอบ 10 นัด ขณะที่คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟก็ได้ โจนาธาน วู้ดเกต กับ เล็ดลีย์ คิง กลับมาประจำการในแนวรับพร้อมกัน
ด้าน อัฟราม แกรนท์ ก็ใส่ชื่อ จอห์น เทอร์รี่ กลับมาคุมแดนหลังอีกครั้ง เช่นเดียวกับ แฟรงค์ แลมพาร์ด ที่ได้ลงขับเคลื่อนเกมตรงกลาง โดยที่ในแดนหน้าส่งทั้ง ดิดิเยร์ ดร็อกบา และ นิโกลาส์ อเนลก้า ลงล่าตาข่ายพร้อมกัน
หลังจากเขี่ยลูกเริ่มเล่นมาได้เพียง 22 วินาที ไก่เดือยทองก็เกือบได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว เมื่อ จูเลียโน่ เบลเล็ตติ จ่ายบอลขวางสนามพลาดถูก ร็อบบี้ คีน ฉกไปได้ก่อนพาบอลเข้าเข่นหน้าเขตโทษ แต่ยังมี เทอร์รี่ พุ่งเข้ามาบล็อกลูกแฉลบออกหลังไปได้ ก่อนที่ อารอน เลนนอน จะเปิดลูกเตะมุมเข้ามาให้ เบอร์บาตอฟ โหม่งชงให้ คิง ตวัดยิงตามน้ำข้ามคานออกไป
สเปอร์ส ได้ใจบุกเข้าใส่อย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 9 ร็อบบี้ คีน หลอกล่อ เบลเล็ตติ ก่อนโยนเข้ามาหน้าประตูให้ เบอร์บาตอฟ เทกตัวขึ้นโขกคนเดียว แต่สะบัดศีรษะมากเกินไป ลูกจึงหลุดออกไปทางเสาสองอย่างน่าเสียดาย
เกมรุกของ สเปอร์ส ยังคงวูบวาบ นาทีที่ 28 ร็อบบี้ คีน บังบอล ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ แถวเส้นเขตโทษก่อนจ่ายคืนให้ สตีด มัลบรองก์ สอดเข้ามากดเน้นๆ บอลทำท่าจะเสียบเสาแรกอยู่แล้ว แต่ ปีเตอร์ เช็ก ยังปฏิกิริยาว่องไวล้มตัวปัดออกหลังไปได้อย่างหวุดหวิด
จากนั้น เชลซี ได้บุกบ้างแต่ยังเจาะเข้าไปลุ้นทำประตูในกรอบเขตโทษไม่ได้ ต้องอาศัยลูกฟรีคิกในการเข้าทำ นาทีที่ 31 ดร็อกบา ถูก วู้ดเกต ดักล้มลง ก่อนที่ แลมพาร์ด จะตะบันเต็มแรง แต่บอลไปแฉลบ วู้ดเกต ข้ามคานออกหลัง ก่อนที่ ดร็อกบา จะได้ซัดบ้างใน 2 นาทีต่อมา แต่ลูกยังไม่โค้งเข้าหากรอบประตู
ทว่าหนที่ 3 ในนาทีที่ 39 ดร็อกบา ก็สามารถเปลี่ยนโอกาสให้เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ได้สำเร็จจากจังหวะที่ถูก ดิดิเยร์ โซโกร่า กระแทกล้มลงในระยะประมาณ 25 หลา ซึ่งหัวหอกไอวอรี่โคสต์จัดการปั่นอ้อมกำแพง เสียบมุมอย่างสวยงามโดยที่ พอล โรบินสัน หลงทางได้แต่ยืนขาตาย
ไก่เดือยทอง เกือบได้คืนอย่างทันควัน ร็อบบี้ คีน เบียดกับ ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่ แถวเส้นเขตโทษก่อนจะพลิกบอลหาช่องซัดจนได้ แต่ ปีเตอร์ เช็ก ยืนดักทางเอาไว้แล้วจึงล้มตัวรับสบาย หมดครึ่งแรก สิงห์บลูส์ กุมความได้เปรียบด้วยสกอร์ที่นำอยู่ 1-0
เข้าสู่ครึ่งเวลาหลังต่างฝ่ายต่างมีโอกาสทำประตูกันน้อยโดยส่วนมากจะเป็นการชิงไหวชิงพริบกลางสนามมากกว่า กระทั่งนาทีที่ 69 สเปอร์ส ก็มาได้ประตูตีเสมอ 1-1 จนได้ เมื่อ เลนนอน โยนจากด้านซ้ายเข้าไปในเขตโทษให้ ทอม ฮัดเดิลสตัน ตัวสำรองที่เพิ่งลงมาแทน ปาสกาล ชิมบงด้า จับบอลลงก่อนถูก เวย์น บริดจ์ เข้ามาพัวพันซึ่งผู้กำกับเส้นตาไว เห็นว่าแบ็กซ้ายเชลซีใช้มือปัดบอลก่อนเคลียร์ทิ้ง ผู้ตัดสิน มาร์ค ฮัลซีย์ จึงเป่าให้เป็นจุดโทษ และ เบอร์บาตอฟ ก็รับหน้าที่สังหารเข้าไปอย่างนิ่มนวลโดยหลอก ปีเตอร์ เช็ก พุ่งผิดทาง
นาทีที่ 81 ไก่เดือยทองพลาดโอกาสได้ประตูชัยอย่างน่าเสียดาย เมื่อ โซโกร่า หลุดกับดักล้ำหน้าเข้าไปดวลเดี่ยวกับ ปีเตอร์ เช็ก แล้วยิงไปตรงตัวในครั้งแรก ก่อนที่ลูกจะกระดอนมาให้ได้ซัดอีก ทว่าหนที่ 2 กลับยิงข้ามคานไปเอง จากนั้น 3 นาที เบอร์บาตอฟ ก็อาศัยทักษะหมุนตัวหนี เทอร์รี่ หาช่องกดในเขตโทษ แต่ก็ไม่ผ่านมือ เช็ก อีก หมด 90 นาทียังเสมอกันอยู่ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไปอีก 30 นาที
เพียงแค่ 4 นาทีของช่วงต่อเวลาพิเศษ สเปอร์ส ก็สามารถพังประตูขึ้นนำเป็น 2-1 ได้สำเร็จ เมื่อ เจอร์เมน จีนาส เปิดฟรีคิกเข้ามาหน้าประตู โจนาธาน วู้ดเกต โถมเข้ามาโขกถูก เช็ก ชกบอลได้ ทว่าบอลไปโดนศีรษะของ วู้ดเกต ย้อนกลับเข้าหากรอบก่อนค่อยๆ ข้ามเส้นเข้าไปซุกก้นตาข่าย และเป็นลูกแรกในสีเสื้อไก่เดือยทองของ "วู้ดดี้" ด้วย จากนั้นนาทีที่ 100 แลมพาร์ด ลักไก่ยิงฟรีคิกบริเวณเส้นหลังด้านซ้าย บอลทำท่าจะเสียบสามเหลี่ยมเสาแรกอยู่แล้ว แต่ พอล โรบินสัน ยังไม่เผลอปัดพ้นกรอบประตูได้อย่างหวุดหวิด
ถึงนาทีที่ 123 เชลซี น่าจะได้ประตูตีเสมอ เมื่อ ซาโลมง กาลู ตัวสำรองครองบอลในเขตโทษก่อนแต่งเข้าเท้าซ้ายแล้วบรรจงแป ทว่า พอล โรบินสัน ใช้เท้าเซฟเอาไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ จากนั้น 4 นาที โจ โคล ตัวสำรองอีกราย ได้โอกาสเข่นในเขตโทษบ้าง แต่ก็ยังตรงตัว โรบินสัน กระทั่งครบ 120 นาที สเปอร์ส เป็นฝ่ายเฉือนชนะ เชลซี 2-1 คว้าแชมป์คาร์ลิง คัพ ประจำปี 2008 ไปครอง และถือเป็นแชมป์รายการแรกในอังกฤษของ ฮวนเด้ รามอส ด้วย
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ – พอล โรบินสัน, อลัน ฮัตตัน, โจนาธาน วู้ดเกต, เล็ดลีย์ คิง, ปาสกาล ชิมบงด้า, อารอน เลนนอน, เจอร์เมน จีนาส, ดิดิเยร์ โซโกร่า, สตีด มัลบรองก์, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ, ร็อบบี้ คีน
เชลซี – ปีเตอร์ เช็ก, จูเลียโน่ เบลเล็ตติ, จอห์น เทอร์รี่, ริคาร์โด้ คาร์วัลโญ่, เวย์น บริดจ์, จอห์น โอบี มิเกล, มิชาเอล เอสเซียง, แฟรงค์ แลมพาร์ด, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, นิโกลาส์ อเนลก้า, ดิดิเยร์ ดร็อกบา