เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ต่างก็ไม่สามารถเจาะตาข่ายได้ด้วยกันทั้งคู่ ก่อนลงเอยด้วยผลเสมอแบบไม่มีสกอร์ 0-0 แบ่งกันไปทีมละ 1 คะแนน ในเกมบิ๊กแมตช์ของศึกพรีเมียร์ชิป อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ฟุตบอลพรีเมียร์ชิป อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551
เชลซี 0 – 0 ลิเวอร์พูล
บิ๊กแมตช์อีกคู่หนึ่งประจำวันอาทิตย์ เชลซี ลงเล่นในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเอง ปะทะกับ ลิเวอร์พูล นัดนี้ อัฟราม แกรนท์ ได้ แฟรงค์ แลมพาร์ด กลับมาบัญชาเกมแดนกลางอีกครั้ง โดยรับบทกัปตันทีมด้วย ขณะที่ มิชาเอล บัลลัค ก็ได้ลงสนามเช่นกัน ส่วน นิโกลาส์ อเนลกา ยังเป็นตัวความหวังในการจบสกอร์เหมือนเดิม
ด้านทีมเยือนไม่มี เฟอร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงสแปนิชตัวสำคัญ ทำให้ เดิร์ก เคาท์ ได้รับโอกาสยืนคู่กับ ปีเตอร์ เคราช์ ขณะที่แผงหลัง มาร์ติน สเคอร์เทล ได้เล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟ ร่วมกับ เจมี คาร์ราเกอร์ ส่วน ยอห์น อาร์เน รีเซ กลับมายืนแบ็กซ้ายได้อีกครั้ง พร้อมทั้ง ไรอัน บาเบล ลงลากเลื้อยทางกราบซ้าย
หลังเขี่ยลูกเริ่มเล่นก็ยังไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูกันเท่าที่ควร เนื่องจากแนวรับของทั้งสองทีมต่างทำหน้าที่กันได้ดี จนหงส์แดงต้องอาศัยการเจาะด้วยลูกกลางอากาศในนาทีที่ 15 จากการโขกของ ปีเตอร์ เคราช์ ทว่าลูกไม่ตรงกรอบ ก่อนที่ 3 นาทีให้หลัง ทีมเยือนก็เกือบได้ประตูออกนำไปก่อนจากการวางยาวของ รีเซ ให้ เคราช์ โหม่งชงให้ บาเบล แตะคืนกลับมา เคราช์ ตวัดยิงจังหวะเดียวด้วยซ้าย ส่งบอลหนีมือ ปีเตอร์ เช็ก หลุดเสาแรกออกไปนิดเดียว
ลิเวอร์พูล เดินหน้าเข้าทำอย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 20 เจอร์ราร์ด อาศัยความขยันโฉบบอลตัดหน้า ริคาร์โด คาร์วัลโญ แถวริมเส้นฝั่งขวาแล้วหยอดเข้ากลางให้ เคราช์ ถอยหลังกลับมาโหม่ง ลูกจึงเบาก่อนไปเข้าซองของ เช็ก อย่างง่ายดาย
ช่วงครึ่งทางของครึ่งแรกมีจังหวะปัญหาเกิดขึ้นจากจังหวะเติมเกมทางซ้ายของ แอชลีย์ โคล แล้วจ่ายย้อนมาให้ โจ โคล แตะบอลเข้าเขตโทษก่อนถูก ฮาเวียร์ มาสเชราโน ปะทะล้มลงไป แต่ผู้ตัดสิน ไมค์ ไรลีย์ ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป
หงส์แดงยังเป็นฝ่ายเข้าทำได้จะแจ้งกว่านาทีที่ 38 ก็ได้จังหวะสวนกลับขึ้นมา เจอร์ราร์ด ถ่ายบอลออกปีกขวาให้ เคาท์ พาบอลก่อนโยนโด่งไปที่เสาสอง ทว่า เคราช์ ถูก อเล็กซ์ ขึ้นเบียดจึงโขกไม่ตรงกรอบ จบครึ่งแรกทั้งสองทีมจึงเสมอกันอยู่ที่ 0-0
กลับมาดวลกันต่อในครึ่งหลังรูปเกมก็ยังตื้อเหมือนเดิม โดยไม่มีจังหวะลุ้นทำประตูแบบหวาดเสียวกันเท่าใดนัก นาทีที่ 60 ไรอัน บาเบล รับบอลจากการวางยาวของ เจอร์ราร์ด เข้าไปกดในเขตโทษแต่ก็ไปติดบล็อก จูเลียโน เบลเล็ตติ ออกหลัง จนถึงนาทีที่ 71 แลมพาร์ด ก็ถูกถอดออกมานั่งพักโดย อัฟราม แกรนท์ หยอด จอห์น โอบี มิเกล ดาวเตะไนจีเรียที่เพิ่งกลับมาจากศึกแอฟริกัน เนชันส์ คัพ ลงมาแทน
โอกาสใกล้เคียงของทั้งสองทีมเริ่มมากขึ้นในช่วง 10 นาทีสุดท้าย โดย เชลซี เป็นฝ่ายได้ลุ้นก่อนจากจังหวะที่ มิเกล ตักบอลให้ แอชลีย์ โคล กระดกต่อไปที่ มิชาเอล บัลลัค กระโดดแปแบบไม่จับ ส่งลูกเฉียดเสาเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนที่ เคาท์ จะเปิดให้ เจอร์เมน เพนแนนท์ ขึ้นโขกในเขตโทษในนาทีที่ 84 แต่ก็ไม่เข้ากรอบ จบเกมจึงเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0 แบ่งไปทีมละ 1 คะแนน โดย เชลซี รั้งอันดับ 3 ต่อไป มีอยู่ 55 คะแนน ส่วน ลิเวอร์พูล กลับมาอยู่ที่ 5 ตามเดิม มี 44 คะแนนเท่ากับ แอสตัน วิลลา และ แมนเชสเตอร์ ซิตี แต่ผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี – ปีเตอร์ เช็ก, จูเลียโน เบลเล็ตติ, อเล็กซ์, ริคาร์โด คาร์วัลโญ, แอชลีย์ โคล, โคล้ด มาเกเลเล่, แฟรงค์ แลมพาร์ด, มิชาเอล บัลลัค, โจ โคล, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, นิโกลาส์ อเนลกา
ลิเวอร์พูล – โฮเซ เรนา, สตีฟ ฟินแนน, เจมี คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, ยอห์น อาร์เน รีเซ, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ฮาเวียร์ มาสเชราโน, ลูคัส เลวา, ไรอัน บาเบล, ปีเตอร์ เคราช์, เดิร์ก เคาท์
ฟุตบอลพรีเมียร์ชิป อังกฤษ วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2551
เชลซี 0 – 0 ลิเวอร์พูล
บิ๊กแมตช์อีกคู่หนึ่งประจำวันอาทิตย์ เชลซี ลงเล่นในสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ ของตัวเอง ปะทะกับ ลิเวอร์พูล นัดนี้ อัฟราม แกรนท์ ได้ แฟรงค์ แลมพาร์ด กลับมาบัญชาเกมแดนกลางอีกครั้ง โดยรับบทกัปตันทีมด้วย ขณะที่ มิชาเอล บัลลัค ก็ได้ลงสนามเช่นกัน ส่วน นิโกลาส์ อเนลกา ยังเป็นตัวความหวังในการจบสกอร์เหมือนเดิม
ด้านทีมเยือนไม่มี เฟอร์นานโด ตอร์เรส ดาวยิงสแปนิชตัวสำคัญ ทำให้ เดิร์ก เคาท์ ได้รับโอกาสยืนคู่กับ ปีเตอร์ เคราช์ ขณะที่แผงหลัง มาร์ติน สเคอร์เทล ได้เล่นเซนเตอร์ฮาล์ฟ ร่วมกับ เจมี คาร์ราเกอร์ ส่วน ยอห์น อาร์เน รีเซ กลับมายืนแบ็กซ้ายได้อีกครั้ง พร้อมทั้ง ไรอัน บาเบล ลงลากเลื้อยทางกราบซ้าย
หลังเขี่ยลูกเริ่มเล่นก็ยังไม่มีโอกาสลุ้นทำประตูกันเท่าที่ควร เนื่องจากแนวรับของทั้งสองทีมต่างทำหน้าที่กันได้ดี จนหงส์แดงต้องอาศัยการเจาะด้วยลูกกลางอากาศในนาทีที่ 15 จากการโขกของ ปีเตอร์ เคราช์ ทว่าลูกไม่ตรงกรอบ ก่อนที่ 3 นาทีให้หลัง ทีมเยือนก็เกือบได้ประตูออกนำไปก่อนจากการวางยาวของ รีเซ ให้ เคราช์ โหม่งชงให้ บาเบล แตะคืนกลับมา เคราช์ ตวัดยิงจังหวะเดียวด้วยซ้าย ส่งบอลหนีมือ ปีเตอร์ เช็ก หลุดเสาแรกออกไปนิดเดียว
ลิเวอร์พูล เดินหน้าเข้าทำอย่างต่อเนื่อง นาทีที่ 20 เจอร์ราร์ด อาศัยความขยันโฉบบอลตัดหน้า ริคาร์โด คาร์วัลโญ แถวริมเส้นฝั่งขวาแล้วหยอดเข้ากลางให้ เคราช์ ถอยหลังกลับมาโหม่ง ลูกจึงเบาก่อนไปเข้าซองของ เช็ก อย่างง่ายดาย
ช่วงครึ่งทางของครึ่งแรกมีจังหวะปัญหาเกิดขึ้นจากจังหวะเติมเกมทางซ้ายของ แอชลีย์ โคล แล้วจ่ายย้อนมาให้ โจ โคล แตะบอลเข้าเขตโทษก่อนถูก ฮาเวียร์ มาสเชราโน ปะทะล้มลงไป แต่ผู้ตัดสิน ไมค์ ไรลีย์ ไม่ว่าอะไร ปล่อยให้เกมดำเนินต่อไป
หงส์แดงยังเป็นฝ่ายเข้าทำได้จะแจ้งกว่านาทีที่ 38 ก็ได้จังหวะสวนกลับขึ้นมา เจอร์ราร์ด ถ่ายบอลออกปีกขวาให้ เคาท์ พาบอลก่อนโยนโด่งไปที่เสาสอง ทว่า เคราช์ ถูก อเล็กซ์ ขึ้นเบียดจึงโขกไม่ตรงกรอบ จบครึ่งแรกทั้งสองทีมจึงเสมอกันอยู่ที่ 0-0
กลับมาดวลกันต่อในครึ่งหลังรูปเกมก็ยังตื้อเหมือนเดิม โดยไม่มีจังหวะลุ้นทำประตูแบบหวาดเสียวกันเท่าใดนัก นาทีที่ 60 ไรอัน บาเบล รับบอลจากการวางยาวของ เจอร์ราร์ด เข้าไปกดในเขตโทษแต่ก็ไปติดบล็อก จูเลียโน เบลเล็ตติ ออกหลัง จนถึงนาทีที่ 71 แลมพาร์ด ก็ถูกถอดออกมานั่งพักโดย อัฟราม แกรนท์ หยอด จอห์น โอบี มิเกล ดาวเตะไนจีเรียที่เพิ่งกลับมาจากศึกแอฟริกัน เนชันส์ คัพ ลงมาแทน
โอกาสใกล้เคียงของทั้งสองทีมเริ่มมากขึ้นในช่วง 10 นาทีสุดท้าย โดย เชลซี เป็นฝ่ายได้ลุ้นก่อนจากจังหวะที่ มิเกล ตักบอลให้ แอชลีย์ โคล กระดกต่อไปที่ มิชาเอล บัลลัค กระโดดแปแบบไม่จับ ส่งลูกเฉียดเสาเพียงนิดเดียวเท่านั้น ก่อนที่ เคาท์ จะเปิดให้ เจอร์เมน เพนแนนท์ ขึ้นโขกในเขตโทษในนาทีที่ 84 แต่ก็ไม่เข้ากรอบ จบเกมจึงเสมอกันไปแบบไร้สกอร์ 0-0 แบ่งไปทีมละ 1 คะแนน โดย เชลซี รั้งอันดับ 3 ต่อไป มีอยู่ 55 คะแนน ส่วน ลิเวอร์พูล กลับมาอยู่ที่ 5 ตามเดิม มี 44 คะแนนเท่ากับ แอสตัน วิลลา และ แมนเชสเตอร์ ซิตี แต่ผลต่างประตูได้-เสียดีกว่า
รายชื่อผู้เล่นทั้งสองทีม
เชลซี – ปีเตอร์ เช็ก, จูเลียโน เบลเล็ตติ, อเล็กซ์, ริคาร์โด คาร์วัลโญ, แอชลีย์ โคล, โคล้ด มาเกเลเล่, แฟรงค์ แลมพาร์ด, มิชาเอล บัลลัค, โจ โคล, ฌอน ไรท์-ฟิลลิปส์, นิโกลาส์ อเนลกา
ลิเวอร์พูล – โฮเซ เรนา, สตีฟ ฟินแนน, เจมี คาร์ราเกอร์, มาร์ติน สเคอร์เทล, ยอห์น อาร์เน รีเซ, สตีเวน เจอร์ราร์ด, ฮาเวียร์ มาสเชราโน, ลูคัส เลวา, ไรอัน บาเบล, ปีเตอร์ เคราช์, เดิร์ก เคาท์