คอลัมน์ "หัวใจในกีฬา" โดย จำลอง ฝั่งชลจิตร
สัปดาห์ที่แล้ว แฟนฟุตบอลผู้ปรารถนาดีต่อทีมชาติไทย ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและตอบโต้กัน ในเว็บบอร์ดของ “ผู้จัดการออนไลน์” อย่างเผ็ดร้อน นานๆ จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้สักครั้ง แม้บางรายจะเล่นลึกสู้เรื่องส่วนตัวตามที่รู้มาก็ตาม ผู้อ่านที่มีวุฒิภาวะน่าจะแยกแยะได้
ต้นเหตุของการถกเถียงตอบโต้ น่าจะมาจากความปรารถนาดีของอดีตนักเตะทีมชาติไทยต่างยุค เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กับ วิทยา เลาหกุล คนแรกเป็นนักเตะ คนหลังมีโอกาสเป็นโค้ชทีมชาติ และจากเก้าอี้ไปอย่างเจ็บปวด สองคนนี้เล่นทีมชาติมานาน จนรู้เช่นเห็นประเพณีของทีมชาติและสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย รู้แบบพูดไม่ได้ รู้แบบคนอยู่หน้าจอทีวีอย่างเราๆ ไม่รู้
ทีมชาติไทยกำลังจะทำศึกฟุตบอลโลก ปี 2010 รอบคัดเลือกสายบี โซนเอเชีย อยู่ร่วมสายกับญี่ปุ่น,โอมาน และบาห์เรน โอกาสผ่านเข้ารอบลึกกว่านี้ยังพอมี โอมานกับบาห์เรนนั้น ทีมชาติไทยรับมือไหว ฟอร์มไม่ไกลกันนัก โอกาสเอาชนะในบ้านมีสูง
แต่กระดูกขัดมัน คือญี่ปุ่น อดีตลูกไล่ของทีมไทย ที่ปัจจุบันเขี้ยวเล็บคบกริบ เคยเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 2-3 สมัย ลีกในประเทศก็แข็งแกร่งขึ้นปีต่อปี ขุนพลตัวหลักๆ ของญี่ปุ่นไปค้าแข้งในยุโรปหลายคน เกียรติศักดิ์กับวิทยา เคยโลดแล่นอยู่ในสนามหญ้า รู้ปัญหาเลยแสดงความเป็นห่วง สองคนรู้ว่าปัญหาของทีมชาติไทยคือระบบ สมาคมกับตัวแทนเลยร้อนตัว โค้ชที่กลมเกลียวกับนายกฯ สมาคมก็พลอยร้อนตัว ความปรารถนาดีกลายเป็นอีกาที่วัวสันหลังหวะต้องหวาดกลัว
เกียรติศักดิ์ยกความสำเร็จของทีมเยาวชนชุด 16 ปี ที่เข้าชิงแชมป์โลก 2 สมัย ที่อียิปต์กับนิวซีแลนด์ ทุกวันนี้แผนสร้างเด็กเลิกหายตายไปแล้ว วิทยา เลาหกุล ปัจจุบันเป็นโค้ชสโมสรโตโตริ ดิวิชั่น 3 ในญี่ปุ่น แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าสมาคมฯควรให้ความสำคัญกับการสร้างทีมทุกระดับ แทนที่จะมาเด็ดยอดเฉพาะชุดใหญ่ นักเตะไทยต้องไว้เวลาพัฒนาและปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้องตั้งแต่เด็กๆ
คำแนะนำดีๆ คำพูดที่เป็นความจริงเห็นๆ กลายเป็นลิ่มตอกลงบนอกผีดิบไปเสียได้ ต่อมาโค้ชวิทยาชี้แนะจุดอ่อนของทีมชาติไทยอย่างบริสุทธิ์ใจ และบอกว่าถ้าสตาฟฟ์โค้ชต้องการข้อมูลเกี่ยวกับทีมชาติญี่ปุ่นเขาก็ยินดี โค้ชปัจจุบัน- ชาญวิทย์ ผลชีวิน ทำตัวเป็นชาล้นถ้วย แทนที่จะตั้งสติรอบคอบ แล้วกล่าวขอบคุณ กลับบอกปัดและอวดเก่งมาตนมีข้อมูลพร้อม ทั้งอาจจะมีมากกว่าโค้ชวิทยาที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่นด้วยซ้ำ บางทีวิสัยทัศน์ของคนที่จะเป็นโค้ชก็ต้องพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกัน
ผมว่าโค้ชชาญวิทย์ตระหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนว่าโค้ชวิทยามาชี้จุดอ่อนของตนให้ชาวบ้านเห็น ทั้งยังแนะนำว่าควรจะทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะกับทีมชาติญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ทีมชาติไทยเหนือกว่าญี่ปุ่นตรงไหน แค่ถ่อมตัวบอกไปว่า “คุณวิทยายังมีสิ่งที่ผมกับสตาฟฟ์มองไม่เห็นช่วยบอกด้วย เผื่อจะได้นำมาปรับแก้เพื่ออุดช่องโหว่” อะไรทำนองนี้
เรามาเถียงเรื่องโค้ชวิทยากับโค้ชชาญวิทย์ ใครเก่งกว่ามันป่วยการ และผิดประเด็น ผมคิดว่าเราตัวสั่นกับญี่ปุ่นเกินไปหรือเปล่า แล้วเรามองโอมานกับบาห์เรน ทีมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจเงินอย่างไร ทัศนคติของสตาฟฟ์โค้ชให้เกียรติสองทีมนี้เพียงไร หมายความว่าขณะนี้มีข้อมูลมากน้อยเพียงไร ทีมชาติไทยอาจเอาชนะหรือเสมอญี่ปุ่น ถ้าเกิดแพ้บาห์เรนหรือโอมานคำแก้ตัวจะกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ชวนขยะแขยง
โค้ชชาญวิทย์ ผลชีวิน มีความสามารถในการทำทีมฟุตบอล เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธ ปัญหาก็คือทำทีมในทัวร์นาเม้นท์อะไร ระดับซีเกมส์เตะกลับลาว เขมร บรูไน มาเลเซียและ อินโดนีเซีย หรือไทเกอร์คัพ ลำพังประสบการณ์และความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะไทย --- อาศัยโค้ชฝีมือพื้นๆ ไปยืนชี้นั่นชี้นี่ก็พอเอาชนะได้
แต่นี่เป็นฟุตบอลโลก คนไทยตั้งหวังว่าจะได้เห็นทีมไทยผ่านเข้ารอบสุดท้ายสักครั้ง คนบ้าบอลอย่างผมอีก 30 ล้านคนจะได้นอนตายตาหลับ ถึงเวลานี้ผมฝากความหวังไว้ที่โค้ชชาญวิทย์ แต่พอได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ผมว่าทีมชาติไทยตกรอบ 20 ทีมไปแล้ว ท่านเป็นถ้วยชาที่ล้นปรี่ โค้ชวิทยาจะยกชาญี่ปุ่นมารินเติมก็ล้นนองท่วมสมาคมฟุตบอลฯ เปล่าๆ
ท่านอาจหลงคิดว่าเราผ่านเข้ารอบไปเล่นที่แอฟริกาใต้แล้วกระมัง เลยไม่ต้องการให้หน้าไหนมาแบ่งปันความสำเร็จ
สัปดาห์ที่แล้ว แฟนฟุตบอลผู้ปรารถนาดีต่อทีมชาติไทย ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและตอบโต้กัน ในเว็บบอร์ดของ “ผู้จัดการออนไลน์” อย่างเผ็ดร้อน นานๆ จะเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้สักครั้ง แม้บางรายจะเล่นลึกสู้เรื่องส่วนตัวตามที่รู้มาก็ตาม ผู้อ่านที่มีวุฒิภาวะน่าจะแยกแยะได้
ต้นเหตุของการถกเถียงตอบโต้ น่าจะมาจากความปรารถนาดีของอดีตนักเตะทีมชาติไทยต่างยุค เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กับ วิทยา เลาหกุล คนแรกเป็นนักเตะ คนหลังมีโอกาสเป็นโค้ชทีมชาติ และจากเก้าอี้ไปอย่างเจ็บปวด สองคนนี้เล่นทีมชาติมานาน จนรู้เช่นเห็นประเพณีของทีมชาติและสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย รู้แบบพูดไม่ได้ รู้แบบคนอยู่หน้าจอทีวีอย่างเราๆ ไม่รู้
ทีมชาติไทยกำลังจะทำศึกฟุตบอลโลก ปี 2010 รอบคัดเลือกสายบี โซนเอเชีย อยู่ร่วมสายกับญี่ปุ่น,โอมาน และบาห์เรน โอกาสผ่านเข้ารอบลึกกว่านี้ยังพอมี โอมานกับบาห์เรนนั้น ทีมชาติไทยรับมือไหว ฟอร์มไม่ไกลกันนัก โอกาสเอาชนะในบ้านมีสูง
แต่กระดูกขัดมัน คือญี่ปุ่น อดีตลูกไล่ของทีมไทย ที่ปัจจุบันเขี้ยวเล็บคบกริบ เคยเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายมาแล้ว 2-3 สมัย ลีกในประเทศก็แข็งแกร่งขึ้นปีต่อปี ขุนพลตัวหลักๆ ของญี่ปุ่นไปค้าแข้งในยุโรปหลายคน เกียรติศักดิ์กับวิทยา เคยโลดแล่นอยู่ในสนามหญ้า รู้ปัญหาเลยแสดงความเป็นห่วง สองคนรู้ว่าปัญหาของทีมชาติไทยคือระบบ สมาคมกับตัวแทนเลยร้อนตัว โค้ชที่กลมเกลียวกับนายกฯ สมาคมก็พลอยร้อนตัว ความปรารถนาดีกลายเป็นอีกาที่วัวสันหลังหวะต้องหวาดกลัว
เกียรติศักดิ์ยกความสำเร็จของทีมเยาวชนชุด 16 ปี ที่เข้าชิงแชมป์โลก 2 สมัย ที่อียิปต์กับนิวซีแลนด์ ทุกวันนี้แผนสร้างเด็กเลิกหายตายไปแล้ว วิทยา เลาหกุล ปัจจุบันเป็นโค้ชสโมสรโตโตริ ดิวิชั่น 3 ในญี่ปุ่น แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่าสมาคมฯควรให้ความสำคัญกับการสร้างทีมทุกระดับ แทนที่จะมาเด็ดยอดเฉพาะชุดใหญ่ นักเตะไทยต้องไว้เวลาพัฒนาและปลูกฝังทัศนคติที่ถูกต้องตั้งแต่เด็กๆ
คำแนะนำดีๆ คำพูดที่เป็นความจริงเห็นๆ กลายเป็นลิ่มตอกลงบนอกผีดิบไปเสียได้ ต่อมาโค้ชวิทยาชี้แนะจุดอ่อนของทีมชาติไทยอย่างบริสุทธิ์ใจ และบอกว่าถ้าสตาฟฟ์โค้ชต้องการข้อมูลเกี่ยวกับทีมชาติญี่ปุ่นเขาก็ยินดี โค้ชปัจจุบัน- ชาญวิทย์ ผลชีวิน ทำตัวเป็นชาล้นถ้วย แทนที่จะตั้งสติรอบคอบ แล้วกล่าวขอบคุณ กลับบอกปัดและอวดเก่งมาตนมีข้อมูลพร้อม ทั้งอาจจะมีมากกว่าโค้ชวิทยาที่ทำงานอยู่ในญี่ปุ่นด้วยซ้ำ บางทีวิสัยทัศน์ของคนที่จะเป็นโค้ชก็ต้องพัฒนามาตั้งแต่เด็กๆ เหมือนกัน
ผมว่าโค้ชชาญวิทย์ตระหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ดี เพียงแต่รู้สึกเหมือนว่าโค้ชวิทยามาชี้จุดอ่อนของตนให้ชาวบ้านเห็น ทั้งยังแนะนำว่าควรจะทำอะไรบ้าง โดยเฉพาะกับทีมชาติญี่ปุ่นที่แข็งแกร่ง ผมไม่รู้จริงๆ ว่าตอนนี้ทีมชาติไทยเหนือกว่าญี่ปุ่นตรงไหน แค่ถ่อมตัวบอกไปว่า “คุณวิทยายังมีสิ่งที่ผมกับสตาฟฟ์มองไม่เห็นช่วยบอกด้วย เผื่อจะได้นำมาปรับแก้เพื่ออุดช่องโหว่” อะไรทำนองนี้
เรามาเถียงเรื่องโค้ชวิทยากับโค้ชชาญวิทย์ ใครเก่งกว่ามันป่วยการ และผิดประเด็น ผมคิดว่าเราตัวสั่นกับญี่ปุ่นเกินไปหรือเปล่า แล้วเรามองโอมานกับบาห์เรน ทีมที่พัฒนาอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจเงินอย่างไร ทัศนคติของสตาฟฟ์โค้ชให้เกียรติสองทีมนี้เพียงไร หมายความว่าขณะนี้มีข้อมูลมากน้อยเพียงไร ทีมชาติไทยอาจเอาชนะหรือเสมอญี่ปุ่น ถ้าเกิดแพ้บาห์เรนหรือโอมานคำแก้ตัวจะกลายเป็นอะไรบางอย่างที่ชวนขยะแขยง
โค้ชชาญวิทย์ ผลชีวิน มีความสามารถในการทำทีมฟุตบอล เรื่องนี้ไม่มีใครปฏิเสธ ปัญหาก็คือทำทีมในทัวร์นาเม้นท์อะไร ระดับซีเกมส์เตะกลับลาว เขมร บรูไน มาเลเซียและ อินโดนีเซีย หรือไทเกอร์คัพ ลำพังประสบการณ์และความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะไทย --- อาศัยโค้ชฝีมือพื้นๆ ไปยืนชี้นั่นชี้นี่ก็พอเอาชนะได้
แต่นี่เป็นฟุตบอลโลก คนไทยตั้งหวังว่าจะได้เห็นทีมไทยผ่านเข้ารอบสุดท้ายสักครั้ง คนบ้าบอลอย่างผมอีก 30 ล้านคนจะได้นอนตายตาหลับ ถึงเวลานี้ผมฝากความหวังไว้ที่โค้ชชาญวิทย์ แต่พอได้ยินสิ่งที่ท่านพูด ผมว่าทีมชาติไทยตกรอบ 20 ทีมไปแล้ว ท่านเป็นถ้วยชาที่ล้นปรี่ โค้ชวิทยาจะยกชาญี่ปุ่นมารินเติมก็ล้นนองท่วมสมาคมฟุตบอลฯ เปล่าๆ
ท่านอาจหลงคิดว่าเราผ่านเข้ารอบไปเล่นที่แอฟริกาใต้แล้วกระมัง เลยไม่ต้องการให้หน้าไหนมาแบ่งปันความสำเร็จ