แกนนำคณะก้าวหน้าโดนโห่ไล่หลายพื้นที่ช่วยหาเสียงชิงนายก อบจ. ปรับหมากไม่แจ้งล่วงหน้า หวั่นโดนอีก ต่างจากรอบเลือก ส.ส.ที่สวมบทพระเอก คราวนี้ภาพลักษณ์พันกับม็อบล้มสถาบันฯ จนแยกไม่ออก แม้อาจไม่เข้าข่ายมาตรา 34 แต่ศรีสุวรรณ ร้อง กกต.มาตรา 111 คู่แข่งประเมินวัดใจคนต่างจังหวัดที่จงรักภักดีในสถาบันฯ สูง
ปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อแกนนำคณะก้าวหน้า ที่ลงพื้นที่หาเสียงเพื่อช่วยผู้สมัครลงรับเลือกตั้งท้องถิ่นระดับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ตามพื้นที่ต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงการไม่ต้อนรับแกนนำคณะก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นการรวมตัวกันขับไล่ เปิดหรือร้องเพลงหนักแผ่นดิน หลังจากที่หลายฝ่ายมองกันว่าทางแกนนำคณะก้าวหน้าเกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคณะราษฎร 2563 ที่มีการก้าวล่วงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ปัจจุบันเป็นแกนนำคณะก้าวหน้า กลายเป็นเป้าหมายหลักของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการขับเคลื่อนทางการเมืองด้วยวิธีการนี้ ส่วนนายปิยบุตร แสงกนกกุล ยังไม่พบว่าถูกขับไล่ แต่ น.ส.พรรณิการ์ ช่อวานิช เริ่มถูกต่อต้านในบางพื้นที่แล้ว และการต่อต้านนั้นไม่เฉพาะเพียงแต่แกนนำคณะก้าวหน้าลงพื้นที่เท่านั้น ในบางพื้นที่อย่างชานเมืองเขตกรุงเทพมหานคร แค่ผู้สมัครที่คณะก้าวหน้าให้การสนับสนุนช่วยหาเสียงก็ถูกต่อต้านเช่นกัน
แม้ว่าแกนนำคณะก้าวหน้าไม่ได้ประกาศตัวเป็นแกนนำร่วมกับคณะราษฎร 2563 แต่ในหลายครั้งของการชุมนุมพวกเขามักปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่การชุมนุมเสมอ รวมถึงการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองต่อสาธารณะ สอดรับกับการขับเคลื่อนของกลุ่มผู้ชุมนุม
เลือกตั้ง ส.ส.เป็นพระเอก
หากย้อนกลับไปก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศเมื่อ 24 มีนาคม 2562 ครั้งนั้นพรรคอนาคตใหม่ สามารถลงหาเสียงได้ทุกพื้นที่ ด้วยแนวทาง ภาพลักษณ์ของแกนนำ เปิดกว้างให้แก่เพศที่สาม ทำให้ได้รับความสนใจจากคนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก จนทำให้กวาดที่นั่ง ส.ส. มาได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงคะแนนของพรรคกระโดดขึ้นมาในอันดับต้นๆ มีสิทธิเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อรวบรวมเสียงจากพรรคอื่นๆ แล้วยังไม่เพียงพอที่จะจัดตั้งรัฐบาล
แต่พรรคอนาคตใหม่ก็ถูกร้องเรียนถึงการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ที่นายธนาธร ให้เงินกู้ยืมกับพรรค ในที่สุดพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบพรรคจากการทำผิดเงื่อนไขในการเลือกตั้ง เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2563 แกนนำถูกตัดสินทางการเมือง 10 ปีออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามคณะก้าวหน้า ส.ส.ของอนาคตใหม่ย้ายไปพรรคก้าวไกล มีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นหัวหน้าพรรค
ก่อนหน้านั้น แกนนำอย่างนายธนาธร นายปิยบุตร น.ส.พรรณิการ์ นายพิธา ออกโรงด้วยการนำแฟลชม็อบ เมื่อ 14 ธันวาคม 2562 ใช้ชื่อกิจกรรม "เมื่อเสียงที่พวกเราเลือกเข้าสภาไม่มีค่า ได้เวลาประชาชนออกมาส่งเสียงด้วยตัวเอง" ที่สกายวอล์ก เขตปทุมวัน จนถูกดำเนินคดี
การเดินนโยบายของพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้าที่เสมือนเป็นเนื้อเดียวกัน หยิบยกเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด และประดิษฐ์คำว่า "ปฏิรูป" สถาบันกษัตริย์ ใช้ในการขับเคลื่อนแนวทางของแกนนำ
หลังยุบพรรคเดินเครื่อง
หลังจากนั้น ได้มีกลุ่มเยาวชนและกลุ่มประชาชนบางส่วนที่เชื่อมโยงกับกลุ่มของนายธนาธร เริ่มออกมาเป็นแกนนำชุมนุม จนกลายเป็นกลุ่มคณะราษฎร 2563 แม้ระยะแรกๆ จะเรียกร้องเรื่องของให้รัฐหยุดคุกคามประชาชน เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก เรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา ระยะหลังได้เพิ่มเรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เข้ามา จนกลายเป็นข้อเรียกร้องหลักของผู้ชุมนุมในเวลานี้
เสมือนหนึ่งเป็นการเดินเกมคู่ขนานและสอดรับกันระหว่างฝ่ายผู้ชุมนุมกับแนวทางของคณะก้าวหน้า การปรากฏตัวของแกนนำก้าวหน้าในพื้นที่ชุมนุม หรือการพูดโดยอ้างว่าเป็นงานทางวิชาการของแกนนำถึงเรื่องสถาบันกษัตริย์ ทำให้คนทั่วไปตั้งข้อสงสัยว่าแกนนำทั้ง 3 ของคณะก้าวหน้าอยู่เบื้องหลังการชุมนุมของม็อบที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์หรือไม่
ทั้งนี้ ยังมีข้อที่ชวนสงสัยถึงเรื่องของทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เป็นตัวเชื่อมถึงความสัมพันธ์ระหว่างแกนนำคณะก้าวหน้ากับแกนนำของผู้ชุมนุมคณะราษฎร 2563 เนื่องจากหนึ่งในแกนนำการชุมนุมคือ นายอานนท์ นำพา เป็นทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนเช่นกัน อีกทั้งนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยังรับว่าความให้แก่แกนนำคณะก้าวหน้า และช่วยเหลือเกือบทุกคดีที่แกนนำการชุมนุมถูกแจ้งข้อกล่าวหา
การชุมนุมของกลุ่มเยาวชน แม้จะไม่ต่อเนื่องไม่ยืดเยื้อเป็นแบบจบลงในเวลาไม่นาน แต่เพิ่มน้ำหนักในเรื่องของการปฏิรูปสถาบันเพิ่มขึ้นทุกขณะ ทำให้ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมที่มีความรักในสถาบันพระมหากษัตริย์ เริ่มไม่พอใจกับการเคลื่อนไหวที่หมิ่นสถาบันมากขึ้น เพียงแต่คนกลุ่มนี้อยู่ในช่วงกลางคนขึ้นไป ดังนั้น การใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่เพื่อขับเคลื่อนตอบโต้กับกลุ่มผู้ชุมนุมมีสถานะเป็นรอง และไม่มีแกนนำในการตอบโต้เหมือนฝ่ายผู้ชุมนุม ได้แต่แสดงความจงรักภักดีผ่านการเข้ารับขบวนเสด็จฯ ตามงานต่างๆ
จนในระยะหลังเริ่มมีบางส่วนเข้ามาประสานงาน รวมถึงการมีสื่อออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ โต้แย้งตรวจสอบข้อกล่าวหาต่างๆ ของฝ่ายผู้ชุมนุมมากขึ้น จนไม่ได้อยู่ในสถานะเป็นรองเหมือนกับก่อนหน้านั้น
อบจ.รอบนี้กลายเป็นผู้ร้าย
เมื่อรัฐบาลเปิดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น อย่างการเปิดรับสมัครชิงตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่พรรคการเมืองหลายแห่งต่างระมัดระวังในเรื่องการลงพื้นที่ช่วยหาเสียง บางพรรคประกาศไม่ส่งลงรับสมัครเพราะอาจมีความสุ่มเสี่ยงต่อกฎหมายเลือกตั้ง แต่แกนนำของคณะก้าวหน้าต่างเดินหน้าลงพื้นที่ช่วยลูกทีมหาเสียง ด้วยเหตุที่ตนเองถูกตัดสิทธิและไม่ได้เป็นพรรคการเมือง จึงลุยช่วยลูกทีมหาเสียง
แต่คราวนี้ภาพลักษณ์ของแกนนำคณะก้าวหน้า ไม่เหมือนกับภาพเมื่อครั้งเป็นพรรคอนาคตใหม่ เพราะหลายคนเชื่อกันว่าแกนนำเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนที่เรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าไม่ใช่เป็นแค่การปฏิรูป แต่น่าจะถึงขั้นเป็นการล้มล้างสถาบันฯ
ประชาชนตามต่างจังหวัดส่วนมากยังคงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องจากพระราชกรณียกิจส่วนใหญ่ดำเนินการไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ยิ่งเมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมแสดงออกที่ก้าวล่วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น ยิ่งทำให้กลุ่มคนที่รักสถาบันฯ เริ่มแสดงออกเมื่อแกนนำคณะก้าวหน้าลงพื้นที่
นับเป็นความแตกต่างกับพื้นที่ในเมืองหลวง ที่กิจกรรมของม็อบคณะราษฎรเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวก แกนนำ 3 คนของคณะก้าวหน้าเดินทางไปไหนยังไม่เกิดปัญหา
การแสดงออกตามพื้นที่ต่างจังหวัดแตกต่างกันไป บางพื้นที่รวมตัวกันต่อต้าน สถานประกอบการบางแห่งประกาศปิดร้านเมื่อทราบว่าทางร้านถูกวางให้เป็นพื้นที่หารือระหว่างผู้สมัคร อบจ.กับนายธนาธร สถานที่ให้เช่าประชุมสัมมนายกเลิกให้บริการกับคณะของนายธนาธร
บางพื้นที่เปิดเพลงหนักแผ่นดินเมื่อผู้สมัครและแกนนำของคณะก้าวหน้าเดินทางไป แม่ค้าตะโกนต่อว่า อย่างพื้นที่ชานเมืองย่านบางบัวทอง ช่อพรรณิกา ก็ถูกร้องเพลงหนักแผ่นดินจนต้องออกจากพื้นที่ หรือเขตจอมทองก็เริ่มมีปฏิกิริยากับผู้สมัคร
อบจ.ในสายของคณะก้าวหน้า
ตอนนี้แกนนำคณะก้าวหน้าได้ปรับเปลี่ยนวิธีการลงไปช่วยเหลือผู้สมัคร อบจ.ในสังกัด คือไม่มีการแจ้งกำหนดการล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้กลุ่มที่เห็นต่างกับแนวทางของคณะก้าวหน้าเดินทางไปคัดค้าน ทำให้สามารถลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครหาเสียงได้
ร้องก้าวหน้าเข้าข่าย ม.111
อย่างไรก็ตาม แกนนำคณะก้าวหน้าที่หวังพื้นที่ อบจ. ยังคงต้องเจอกับอุปสรรคอีกเมื่อนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้เดินทางมายื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อ 9 พฤศจิกายน 2563 เพื่อขอให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวนคณะผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้าทั้งหมด รวมทั้งผู้สมัคร นายก อบจ. และสมาชิก อบจ. ทั่วประเทศในนามคณะก้าวหน้าว่า เข้าข่ายสมคบกันในการดำเนินกิจการเช่นเดียวกันกับพรรคการเมือง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ม.111 หรือไม่ หากพบว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือมีความผิด ให้ดำเนินการเอาโทษทางกฎหมาย และเพิกถอนสิทธิในการสมัคร อบจ.ต่อไป
พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ม.111 ที่บัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง หรือผู้ใดดําเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใด ให้เข้าใจว่าเป็นพรรคการเมือง โดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี”
อบจ.คณะก้าวหน้าลำบาก
หนึ่งในทีมงานดูแลการเลือกตั้ง อบจ.ครั้งนี้กล่าวว่า การลงพื้นที่ของแกนนำคณะก้าวหน้าคงไม่ผิดตามมาตรา 34 เรื่องช่วยผู้สมัคร อบจ.หาเสียง เนื่องจากแกนนำถูกตัดสิทธิทางการเมือง ส่วนจะผิดตามมาตราอื่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ กกต. แต่มีข้อสังเกตวันที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค และนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.พรรคก้าวไกลลงพื้นที่จังหวัดอยุธยาว่า มีส่วนในการช่วยผู้สมัครหาเสียงหรือไม่
ตอนนี้ผู้สมัคร อบจ.ของคณะก้าวหน้า น่าจะอยู่ในภาวะที่ตกที่นั่งลำบาก เพราะประชาชนในต่างจังหวัดล้วนแล้วแต่รักสถาบันพระมหากษัตริย์แทบทั้งสิ้น แม้บางพื้นที่อาจไม่ชอบรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่าคณะก้าวหน้าเกี่ยวข้องกับการชุมนุมที่ก้าวล่วงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ของประเทศรับไม่ได้ ดังนั้น โอกาสที่ผู้สมัครในสังกัดของคณะก้าวหน้า อาจไม่ได้รับการเลือกตั้งเลยก็เป็นไปได้
ในอีกด้านหนึ่งแม้ผลการเลือกตั้ง อบจ.สายของคณะก้าวหน้าอาจไม่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา แต่คณะก้าวหน้าจะได้ข้อมูลจากพื้นที่ว่าคนที่เห็นด้วยกับแนวทางของคณะก้าวหน้ามีมากน้อยเพียงใด ส่วนจะนำไปใช้ในทิศทางใดคงเป็นเรื่องของทีมงานก้าวหน้าทราบดีที่สุด