“หมอวรงค์” เตือน “3 นิ้ว” ทิ้งทวนรุนแรง เชื่อแกนนำได้วีซ่าอเมริกา “ปวิน” แจ้งม็อบระวัง io ป้ายสี “สมยศ” สุดอิน ร่ายกวีปลุกเร้าสู้ตาย “กิตติธัช” ฉายภาพย้อนแย้งคนรุ่นใหม่ ข้อเรียกร้องกับความเป็นจริง “พี่ศรี” จัดหนัก “ทอน-บุตร-ช่อ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (8 พ.ย. 63) เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์หัวข้อ “ #ประชาสาส์น”
โดยระบุว่า “วันนี้ (8 พฤศจิกายน 2563) ผม คุณอุ๊ และท่านหลวงปู่พุทธะอิสระ ได้รับเกียรติจาก พี่น้องชาวโคราช ร่วมกิจกรรมรณรงค์ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ลานย่าโม เวลา 15.00 น.เป็นต้นไป
แถมนิดครับ ช่วงนี้พวกเราต้องอดทนต่อการยั่วยุมากเป็นพิเศษ เพราะทราบข่าวว่า มีแกนนำหลายคนได้วีซ่าไปอเมริกาแล้ว เขาอาจจะทำบางอย่าง ทิ้งทวนเพื่อให้เกิดความรุนแรง ตามแผนที่เขาต้องการ ดังนั้น ต้องอดทน อดทน และอดทน”
ขณะเดียวกัน เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ผู้ลี้ภัยการเมืองในญี่ปุน โพสต์ข้อความสั้นๆ ว่า
“แจ้งข่าว” พร้อมภาพบรรยายข้อความเตือนให้ม็อบระวังจะถูกข่าว io จากฝ่ายตรงข้าม ใส่ร้ายทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเผยมีการเตรียมจัดฉากเอาไว้แล้ว
เช่นเดียวกันกับ เฟซบุ๊ก Somyot Pruksakasemsuk ของนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย “แดงตัวพ่อ” โพสต์ร่ายกวี “รวมพลังไพร่พร้อม สู้ตาย”
ระบุว่า “ทำศึกสู้กับนาย แน่แท้
ชุมนุมแน่นกระจาย หลายหมื่น
เกลียวคลื่นคนนั่นแล้ เลิศล้ำ ราษฎร”
รวมทั้ง “บิ๊กเพนกวิน” พริษฐ์ ชิวารักษ์ ทวีตข้อความในทวิตเตอร์ ระบุว่า...ข้อเรียกร้องทั้งสามข้อที่ประชาราษฎรตะโกนพร่ำร้องมาหลายเดือนนี้ มิใช่คำร้องขอ แต่คือคำขาด หากข้อเรียกร้องเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบสนอง ปัญหาของประเทศชาติที่หมักหมมมาหลายสิบปีก็จะไม่ได้รับการแก้ไข และจะยังเฟะเน่าคาราคาซังเช่นนี้ต่อไป หากท่านเห็นแก่ชาติ จงปฏิบัติตามข้อเรียกร้องนี้
ด้าน เฟซบุ๊ก Kittitouch Chaiprasith ของ ดร.กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ อาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้านปรัชญาการเมือง โพสต์ข้อความระบุว่า
“เย็นวันนี้ ผมนั่งแท็กซี่ผ่าน “เยาวราช” เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา คือ เยาวราชเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น วัยรุ่นหลายพันคนเต็มถนนเยาวราช ทั้งมาต่อแถวซื้อของกิน ทั้งถ่ายรูปเซลฟี่ ไปจนถึงเป็นหมู่คณะ
ก็คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่วัยรุ่นคนยุคใหม่ เริ่มออกมาจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่อื่น นอกจากห้างสรรพสินค้า ซึ่งน่าจะช่วยทำให้รายได้กระจายลงไปสู่ชุมชน ลงไปสู่ย่านได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน
--------------------
ในขณะเดียวกัน เมื่อเลื่อนหน้าจอมือถือลงไป กลับพบภาพม็อบปลดแอกที่มาชุมนุมแถวสยามวันนี้ ที่แต่งตัวดูแปลกประหลาดสำหรับคนทั่วไป
(แต่ไม่แปลก สำหรับคนที่ติดตามการเมืองในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา เพราะเหมือน copy & paste กันมาเลย)
แต่ที่สะดุดใจที่สุดน่าจะเป็น 3 คนในรูปนี้ ที่กำลังเหมือนแต่งคอสเพลย์ จำลองว่า คนไทยโดนกดขี่ ข่มเหง ไร้อิสระ เสรีภาพในการใช้ชีวิต เสมือนเป็นทาสก่อน ร.5 ท่านจะให้มีการเลิกทาสเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว
มองเสร็จ ก็หันสายตาออกจากจอมือถือ แล้วมองกลับไปที่วัยรุ่นจำนวนมหาศาล ที่กำลังรื่นเริงเต็มถนนเยาวราช ก็ได้แต่คิดในใจว่า
ดูเหมือน “สำนึกเสมือน” ที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนบางกลุ่ม มันช่างขัดแย้งกับ “โลกความเป็นจริง” ที่อยู่ข้างนอกเสียเหลือเกิน...”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช หรือ “ช่อ” ที่ร่วมกันตั้งคณะก้าวหน้าขึ้นมาโดยมีการกำหนดตำแหน่งประธาน กรรมการ และเลขาธิการ โดยมีภาพเครื่องหมายของคณะเช่นเดียวกันกับพรรคการเมือง และดำเนินกิจกรรมต่างๆ เฉกเช่นเดียวกับพรรคการเมือง เช่น การจัดประชุมเปิดตัวผู้สมัคร และส่งคนสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) กว่า 40 จังหวัด ซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปแล้วนั้น
พฤติการณ์หรือการกระทำดังกล่าวของ นายธนาธร นายปิยบุตร และ น.ส.พรรณิการ์ กับพวก จึงเป็นการสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง จึงอาจเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 ม.111 ที่บัญญัติไว้ว่า
“ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ดําเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง หรือผู้ใดดําเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใดให้เข้าใจว่า เป็นพรรคการเมืองโดยมิได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอน สิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกําหนดห้าปี”
นอกจาก นายธนาธร นายปิยบุตร และ น.ส.พรรณิการ์ ที่ดําเนินกิจการในลักษณะเช่นเดียวกับพรรคการเมือง แต่ทว่าผู้สมัคร นายก อบจ. และ ส.อบจ. ทั่วประเทศในนามกลุ่มก้าวหน้า โดยใช้สัญลักษณ์หรือโลโก้กลุ่มในสื่อหาเสียงต่างๆ และให้นายธนาธร นายปิยบุตร และ น.ส.พรรณิการ์ ไปร่วมปราศรัย เดินรณรงค์หาเสียง ก็อาจเข้าข่ายสบคบกันกับบุคคลทั้ง 3 ด้วยเช่นกัน
การที่ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ถูกกำหนดขึ้นมาก็เพื่อให้พรรคการเมืองต่างๆ ไปจดแจ้งต่อ กกต. เพื่อที่จะได้มีกลไกทางกฎหมายในการควบคุม ดูแล โดยเฉพาะเพื่อให้มีความรับผิดชอบต่อประชาชนหากพรรคการเมืองไปดำเนินกิจกรรมใดๆ ที่อาจผิดกฎหมาย แต่การเลี่ยงบาลีโดยการไปจัดตั้งกลุ่มการเมืองขึ้นมา เพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ซึ่งอาจต้องใช้เงินใช้ทองมหาศาลในการขับเคลื่อนกิจกรรมทางการเมือง แต่ไม่มีการจดแจ้งก่อตั้งต่อ กกต.ตามที่กฎหมายกำหนด เช่นนี้ สังคมหรือ กกต.จะไปตรวจสอบการทำงาน ตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน หรือความโปร่งใสได้อย่างไร
ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความพร้องพยานหลักฐานไปร้องเรียนต่อ กกต. เพื่อให้ดำเนินการไต่สวน สอบสวนคณะผู้ก่อตั้งคณะก้าวหน้าทั้งหมด รวมทั้งผู้สมัคร นายก อบจ. และ ส.อบจ. ทั่วประเทศในนามคณะก้าวหน้า ว่า เข้าข่ายสมคบกันในการดำเนินกิจการเช่นเดียวกันกับพรรคการเมืองหรือไม่ อย่างไร หากพบว่า ผิด กกต.จักต้องดำเนินการเอาโทษทางกฎหมายและเพิกถอนสิทธิในการสมัคร อบจ.ต่อไป โดยจะไปยื่นในวันจันทร์ที่ 9 พ.ย. 63 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน กกต.ศูนย์ราชการ อาคาร B หลักสี่ กทม.
แน่นอน, ปัญหาใหญ่ทางการเมืองที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมือง ของ “ม็อบ 3 นิ้ว” หรือ การต่อสู้ทางการเมืองในรัฐสภา ที่นำมาสู่ความขัดแย้งรุนแรงในประเทศไทย ล้วนมาจากกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน
โดยมีพรรคการเมืองฝ่ายค้าน เป็นแนวร่วม ที่เข้มแข็ง เพราะต้องการแย่งชิงอำนาจ และต้องการเอาชนะทางการเมืองแบบไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนั่นเอง
กลุ่มการเมืองที่ว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบ “สาธารณรัฐ” และฝักใฝ่เสรีนิยมประชาธิปไตย โดยยึดมั่นแนวทางการต่อสู้แบบปฏิวัติฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ และยึดมั่นแนวทางการปฏิวัติ 2475 ของ “คณะราษฎร” ซึ่ง เป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสถาบันกษัตริย์ของไทย
โดยก่อนหน้าที่จะเข้ามาตั้งพรรคการเมืองนั้น แกนนำบางคน เคยสังกัดกลุ่มนิติราษฎร์ ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการ “ล้มเจ้า” ในความหมายที่สื่อมักเรียกกัน และเมื่อเข้ามาตั้งพรรคการเมือง กลุ่มดังกล่าวก็ทำผิดกฎหมายหลายคดี จนมีคดีเข้าสู่ศาลมากเป็นพิเศษ เพราะพฤติกรรมที่ท้าทายกฎหมาย และการทำความผิดนั่นเอง
สุดท้าย หัวหน้าพรรค ต้องถูกตัดสินสิ้นสภาพ ส.ส. เพราะคดีถือหุ้นสื่อ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญ ตัดสินยุบพรรค เพราะคดีเงินกู้พรรค ซึ่งกู้หัวหน้าพรรคกว่า 191.2 ล้านบาท จนคณะกรรมการบริหารพรรค ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมืองถึง 10 ปี ไม่นับที่จะต้องถูกดำเนินคดีอาญาอีก ปัจจุบัน ตั้งกลุ่มการเมือง เพื่อต่อสู้ทางการเมือง
และที่ต้องไม่ลืม ก็คือ หัวหน้าพรรคคนนี้นั่นเอง ที่เป็นคนปลุกมวลชนออกมาร่วม “แฟลชม็อบ” เป็นคนแรก ก่อนที่จะส่งไม้ต่อไปยัง นักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนบางกลุ่ม ในนาม ม็อบเยาวชนปลดแอก ม็อบคณะราษฎร 63 และม็อบราษฎร 63 ที่กำลังชุมนุมใหญ่ ชู 3 นิ้ว เป็นสัญลักษณ์อยู่ทุกวันนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ จากข้อเรียกร้อง 3 ข้อ และหนึ่งในนั้น คือ “ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์” จึงชัดแจ้งแล้วว่า ต้องการอะไรเป็นสำคัญ และไม่แปลกที่จะมีการเคลื่อนไหวอย่างโจ่งแจ้งจาก “แดงล้มเจ้า” ทั้งหลายที่ลี้ภัยอยู่ในต่างประเทศ ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีข่าวว่า ประเทศต้นตำรับเสรีประชาธิปไตยบางประเทศ แอบหนุนหลัง
ดังนั้น ไม่ว่า เกมการเมืองจะดำเนินไปอย่างไร การแสดงออกจะออกมาในรูปแบบไหน กลยุทธ์จะหลอกล่อไปในท่วงทำนองใด ในท้ายที่สุด ก็จะมาจบที่การปฏิรูป และปฏิวัติสถาบันนั่นเอง
ทั้งหมดมิใช่เพียงความแค้น ไม่ใช่เพียงฐานะฝ่ายค้าน หากแต่เป็นอุดมการณ์ฝังหัว ที่ถูกนำออกมาหารูปแบบการต่อสู้ และคนที่พร้อมเป็นตัวแทนในการต่อสู้ ซึ่งก็มาตกอยู่ที่พลังบริสุทธิ์ เพื่อเป็นข้ออ้างของความ “ชอบธรรม” เหมือนการต่อสู้ของคน 14 ตุลา และ 6 ตุลา ในอดีต
ส่วนจุดจบจะเป็นอย่างไร คล้ายหรือต่างจากเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา หรือไม่ ก็ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป