“ปวิน” หยอกแรง! ทำเอาโซเชียลร้อน อ้างโพสต์ขำๆ กรณี กงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ชวนทานข้าวกลางวัน ขณะ “ดร.เสรี” ไม่ขำด้วย จี้ กต.ชี้แจงด่วน อย่าตีเนียน
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(4 ก.พ.63) เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun ของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการประจำสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถูกทางการไทยออกหมายจับในคดีหมิ่นเบื้องสูง โพสต์ข้อความระบุว่า
“เมื่อวาน ดิชั้นไปถ่ายคลิปหน้าทำเนียบกงสุลไทย ณ นครแวนคูเวอร์ แล้วก็เล่าแบบขำๆ ว่า ได้รับเชิญจากกงสุลใหญ่ให้มาบรีฟเรื่องการเมืองไทย ใครก็รู้ว่าดิชั้นเล่าแบบขำๆ เพราะคงไม่มีกงสุลคนไหนกล้าเขิญดิชั้นจริงๆ
วันนี้ อีกงสุลใหญ่เครียดจัด ฝากให้คนไทยที่แวนคูเวอร์มาบอกว่า ขอให้ต่างคนต่างอยู่ ขอให้ดิชั้นอย่ามาตอแยสถานกงสุล และสถานกงสุลก็จะไม่ตอแยดิชั้น
...เมื่อดิชั้นมาแวนคูเวอร์เมื่อปี 2016 เพราะได้รับเชิญมาพูดที่นี่ อีกงสุลคนก่อนส่งสปายสลิ่ม มันชื่อ อีดอกจ๋า มาสอดแนมเล็คเชอร์ของดิชั้น และดิชั้นก็มั่นใจว่า อีกงสุลคนปัจจุบันมันคงส่งคนมาสืบอีก เพราะดิชั้นจะมีเล็คเชอร์ที่ UBC สัปดาห์นี้
นี่ไม่นับว่า คนของพ่อมึงได้ส่งคนมาพ่นสเปรย์ใส่ดิชั้นที่เกียวโต เพราะฉะนั้น อย่ามาใช้คำว่า ต่างคนต่างอยู่กับดิชั้น มันหมดยุคแล้วที่ผู้ลี้ภัยต้องเป็นเบี้ยล่างของพวกมึงค่ะ ดิชั้นเป็นผู้ลี้ภัยรุกนะคะ จำใส่กะลาหัวไว้”
ทั้งนี้ เฟซบุ๊ก Pavin Chachavalpongpun เมื่อวันที่ 2 ก.พ.63 โพสต์ข้อความระบุว่า
“ได้รับเชิญให้ทานอาหารกลางวัน ณ ทำเนียบท่านกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ แซ่บค่ะ อาหารเริ่ดมากโดยเฉพาะข้าวเหนียวมะม่วง”
ขณะเดียวกัน(4 ก.พ.63) เฟซบุ๊ก ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย และคณาจารย์สถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด โพสต์ข้อความไล่บี้ทันที
ระบุว่า “DES ควรสอบถามไปที่กระทรวงการต่างประเทศให้ชี้แจงด้วยว่า เรื่องกงศุลใหญ่ที่แวนคูเวอร์เชิญคนต้องคดี 112 ไปกินข้าวจริงหรือเท็จ เรื่องนี้จะตีเนียนเฉยๆไปคงไม่ได้นะคะ ภาพลักษณ์ของกระทรวงต่างประเทศและ DES เน่าแน่ ถ้าหากไม่มีคำชี้แจงใดๆ”
แน่นอน, โพสต์ดังกล่าวของดร.เสรี สืบเนื่องมาจาก นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ โพสต์ข้อความว่าได้รับเชิญมาทานกลางวันที่ทำเนียบกงสุลใหญ่ ณ นครแวนคูเวอร์ ดังกล่าว
เรื่องถูกทำร้าย ถ้ายังจำกันได้ เมื่อวันที่ 3 ส.ค.62 นายปวิน เคยโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Pavin Chachavalpongpun โดยระบุว่า ตนเองถูกทำร้ายร่างกายที่บ้านพักในเมืองเกียวโต
"ดิชั้นถูกทำร้ายร่างกายที่บ้านพักที่เกียวโตค่ะ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ตามข่าวที่ปรากฏใน Washington Post"
"ตำรวจญี่ปุ่นกำลังล่าตัวคนร้ายอยู่ค่ะ ตามที่ปรากฏใน Financial Times"
"The Times ของอังกฤษรายงานว่า ดิชั้นถูกโจมตีด้วยสารเคมีที่บ้านพักที่เกียวโต"
พร้อมกันนี้ นายปวินได้แชร์ลิงก์บทความของนายคริสเตียน คาริล (Christian Caryl) บรรณาธิการบทความของวอชิงตันโพสต์ ซึ่งให้รายละเอียดว่า
"เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ปวินและแฟนของเขาตกใจตื่นขึ้นในห้องนอนของเขาที่บ้านในกรุงเกียวโต ชายในชุดดำลอบเข้ามาในห้องและพ่นสเปรย์สารเคมีบางอย่างไปยังทั้งสองคู่ที่ยังอยู่บนเตียง โดยผลจากสเปรย์ทำให้ทั้งคู่รู้สึกระคายเคืองผิว จากนั้นคนร้ายได้หลบหนีออกไป แม้ว่าแฟนของปวินจะพยายามไล่ตามแต่ก็ไม่ทัน
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เร่งรุดมายังที่เกิดเหตุ โดยปวินและแฟนของเขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งแพทย์สามารถที่จะรักษาอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นได้ แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า สารเคมีที่ถูกพ่นออกมาจากสเปรย์นั้นคืออะไร ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจญี่ปุ่นกำลังสืบสวนเรื่องนี้อยู่" คาริลระบุ และว่า
"บางคนอาจโบ้ยว่าเหตุการณ์นี้เป็นการกลั่นแกล้งกันเล่น ๆ เท่านั้น แต่การอนุมานเช่นนั้นถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรง เพราะช่วง 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่กองทัพไทยได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจ ผู้ที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลทหารก็ถูกข่มขู่ด้วยความรุนแรงอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะผู้ที่หลบหนีไปอาศัยอยู่นอกประเทศ"
จากนั้น บก.บทความของหนังสือพิมพ์อเมริกันได้อ้างถึงเหตุการณ์การหายตัวไปของคนเสื้อแดงหลายกลุ่มที่หลบหนีไปอาศัยอยู่ในประเทศลาว และอ้างว่า นายปวินก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่ต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยหลังถูกออกหมายจับ ขณะที่ครอบครัวของนายปวินที่ยังอยู่ในประเทศไทยก็ถูกคุกคาม
อนึ่ง นายปวินหยุดโพสต์ข้อความลงในสื่อสังคมออนไลน์ตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2562 และเพิ่งกลับมาโพสต์ข้อความในวันนี้(ผู้จัดการออนไลน์)
จากนั้น เมื่อวันที่ 6 ส.ค.62 เวลา 12.45 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีที่นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการที่ต้องคดี ม.112 ถูกทำร้ายร่างกายที่ประเทศญี่ปุ่น แล้วกล่าวหาว่ารัฐบาลเป็นคนสั่งทำว่า
ก็เห็นใจเขา แต่เขาถูกทำร้ายร่างกายที่ญี่ปุ่น ถ้ากล่าวหาว่ารัฐบาลส่งคนไปทำ แล้วใครจะกล้าไปทำ เพราะกฎหมายบ้านเขาก็มีอยู่ รัฐบาลคงไม่ทำอย่างนั้นและไม่ทำอยู่แล้ว
"แต่ละประเทศมีสัญญากันอยู่ว่า จะพยายามไม่ให้คนที่ทำร้ายประเทศของตัวเองมาอยู่ในประเทศของเขา เหมือนกับเราที่พยายามดูแลไม่ให้คนที่พยายามต่อต้านประเทศของเขามาอยู่ในไทย แต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับที่พูดมาหรือเปล่า" นายกฯ กล่าว
ด้านนายปวินโพสต์เฟซบุ๊กโต้ว่า "ไม่มีรัฐบาลไหนยอมรับว่าส่งทีมสังหารไปจัดการผู้เห็นต่างนอกประเทศ" และก่อนหน้ายังโพสต์ว่า "ทางการญี่ปุ่นกำลังตามจับคนร้าย คดีผมชี้ชัดว่าคนร้ายต้องการทำร้ายมากกว่าหมายปองชีวิต ตำรวจญี่ปุ่นกำลังสืบสวนเหตุการณ์นี้อยู่ ในกรณีของผมเห็นได้ชัดว่าผู้โจมตีต้องการข่มขู่แทนที่จะฆ่า"
(หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ /7 ส.ค.62)
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น นายปวิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กอีกว่า “...มีเรื่องอึดอัดใจที่ว่าจะเขียนให้อ่านตั้งนานแล้ว วันนี้ตื่นเช้า เลยขอระบายความอึดอัดหน่อยค่ะ
หลังจากเกิดเหตุทำร้ายร่างกายดิชั้น ในทันที ตำรวจขอให้ยุติการใช้โซเชี่ยลมีเดีย และขอให้ดิชั้นอย่าพูดมากเรื่องนี้ รวมถึงอย่าเพิ่งบอกสื่อมวลชน เพราะตำรวจเห็นว่าจะเสียรูปคดี ถ้าใครจำได้วันนั้น หลังเกิดเหตุ ดิชั้นเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นทาทายัง สาเหตุเพราะคับเแค้นใจ จึงต้องการส่งขัอความไปหาไอ้คนที่สั่งการทำร้ายร่างกายให้รู้ว่า ดิชั้นยังสุขสบายดี ยังไม่ตายห่า แต่เปลี่ยนรูปได้สักครู่ ตำรวจญี่ปุ่นก็มาตำหนิดิชั้น บอกแล้วว่าขออย่าเพิ่งเคลื่อนไหวใดๆ ดิชั้นเลยต้องยุติและหายไปจากโซเชี่ยลหลังจากนั้น
จนกระทั่งมีหลายคนเริ่มสงสังว่าดิชั้นหายไปไหน บ้างก็บอกว่า ดิชั้นทะเลาะกับคู่ขา บ้างก็ว่าเตียงหักบ้าง คือคนที่พูดแบบนี้มาจากคนที่สนิทด้วยซ้ำ ทำไมคนสนิทกันขนาดนั้น ถึงได้สันนิษฐานเรื่องที่มันทุเรศแบบนี้ พอข่าวหลุดว่าดิชั้นถูกทำร้าย คนพวกนี้กลับมาตำหนิดิชั้นว่าทำไมดิชั้นไม่ส่งข่าวผู้ลี้ภัยคนอื่นให้เค้ารู้เรื่อง ให้เค้าเตรียมรับมือเผื่อว่าเค้าจะกลายเป็นเหยื่อด้วย...พ่อแม่มึงตายค่ะ
เป็นผู้ลี้ภัยไม่พอ ดิชั้นต้องเป็นพระเยซู พระแม่มารี ต้องเป็นแม่ชีเทเรซ่า ต้องเป็นเนลสัน แมนเดลา เพื่อมาถ่ายบาปพวกผู้ลี้ภัยคนอื่น ต้องยอมเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อให้คนอื่นอยู่รอด ดิชั้นไม่ได้เป็นชินด์เลอร์ที่จะมาช่วยชีวิตชาวยิว แค่จะเอาตัวเองให้รอดตอนนั้นก็ทำแทบไม่ได้
ดิชั้นมาขอพักอาศัยที่ญี่ปุ่น และต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต เมื่อตำรวจญี่ปุ่นขอร้องดิชั้น มหาลัยเกียวโตขอร้องดิชั้นห้ามบอกใคร ทำไมดิชั้นต้องยอมทะเลาะกับตำรวจและมหาลัย เพื่อบอกผู้ลี้ภัยคนอื่น ดิชั้นต้องขอความคุ้มครองจากตำรวจญี่ปุ่น
ดิชั้นจึงมีภารกิจและหน้าที่ที่ต้องเชื่อฟังทางการญี่ปุ่น ดิชั้นต้องเอางานของดิชั้นมาก่อน ต้องเชื่อฟังมหาลัย เพราะไม่มีงาน ดิชั้นก็อดตาย ทำไมผู้ลี้ภัยเหล่านี้ถึงมาบังคับให้ดิชั้นต้องแตกหักกับประเทศที่ดูแลดิชั้นอยู่ เพียงเพื่อต้องการบอกข่าวนี้กับพวกเค้า ดิชั้นต้องทำเท่าไหร่ถึงจะให้ทุกคนพอใจ เป็นผู้ลี้ภัยเหมือนกัน จะมาเอาอะไรจากดิชั้นมากมาย
ทุกคนต้องรู้ว่า หลังจากสุรชัยตาย ทุกคนเป็นเหยื่อเท่าๆ กันทั้งหมด ไม่ต้องรอให้ดิชั้นบอก ดิชั้นเบื่อมากกับคำร้องขอเหล่านี้ ถึงเวลาที่ดิชั้นขอเห็นแก่ตัวบ้าง นี่มันคือชีวิตกูเหมือนกันค่ะ
อ้อ อีกเรื่อง แล้วยังมีคนอีกประเภทหนึ่ง อยากจะเป็นมิตรกับดิชั้น แต่ก็กลัวว่าทางการจะรู้ กลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเป้าหมาย อันนี้รำคาญ ถ้าลำบากนัก ไม่ต้องมาเป็นเพื่อนดิชั้น ดิชั้นมีหมากับผัวเป็นเพื่อนเท่านั้นพอแล้วค่ะ ไอ้ฉิบหาย(สยามรัฐออนไลน์ 25 ส.ค.62)
สำหรับ “ปวิน” กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเพิกถอนหนังสือเดินทางของบุคคลที่ถูกออกหมายจับ เมื่อวันที่ 9 ก.ค.57
ทั้งนี้ การยกเลิกหนังสือเดินทางเป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 23 (2) ที่ระบุว่าเจ้าหน้าที่สามารถยกเลิกหรือเรียกหนังสือเดินทางได้เมื่อปรากฏภายหลังว่า ผู้ถือหนังสือเดินทางเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่อาจออกหนังสือเดินทางได้ เนื่องจากเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาที่ได้มีการออกหมายจับไว้แล้ว
สำหรับนายปวิน เป็นนักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ผู้ริเริ่มโครงการ "ฝ่ามืออากง" และรณรงค์ให้มีการปฏิรูปแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 เคยโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
"ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแกนนำขับเคลื่อนให้มีการปฏิรูปกฏหมายมาตรา 112 ผมขอประกาศตรงนี้ว่า ใครไม่เห็นด้วยกับการรณรงค์นี้ ขอให้ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ หรือดาวนพเคราะห์ดวงอื่น อย่าทำตัวเป็นสิ่งปฏิกูลของประชาธิปไตยในประเทศนี้เลยครับ" (โพสต์ทูเดย์ 11 ก.ค.57)
ดังนั้น ไม่แปลก ที่โพสต์ของเขา กรณีได้รับเชิญจาก กงสุลไทย ณ นครแวนคูเวอร์ ให้ไปร่วมทานข้าวกลางวัน จะทำให้ “ดร.เสรี” เดือดดาลขนาดนี้ นี่ถ้าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแบบขำๆของ “ปวิน” อย่างที่ออกมาโพสต์แก้ข่าว สิ่งที่ ดร.เสรีต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจง นับว่ามีประเด็นอย่างยิ่ง