อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา สุดทน ประณามพวกปล่อยข่าวปลอม “ไวรัสโคโรนา” ซ้ำเติมสถานการณ์ให้คนตื่นตระหนก “เลวมาก” ยิ่งถ้าเป็น “ส.ส.” ยิ่ง “เลวไม่มีที่เปรียบ”
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้(28 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา
โพสต์ข้อความระบุว่า
“.....ผู้ที่สร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เพื่อต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชนที่ได้เสพข่าวถือว่าเลวมาก
.....คนที่นำข่าวมาเผยแพร่ต่อ ถือว่าเลวมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็น “ส.ส.” ที่นำข่าวมาขยายผลเพื่อโจมตีรัฐบาล ต้องถือว่าเลวที่สุดจนหาอะไรมาเปรียบเทียบไม่ได้แล้ว”
ไม่เพียงเท่านั้น ในเวลาต่อมา เฟซบุ๊ก Chuchart Srisaeng ยังโพสต์ข้อความอีกว่า
“.....การสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือข่าวปลอมอื่นๆ เพื่อต้องการให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน เข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ที่มีโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
.....แต่ที่ยังมีการกระทำกันอยู่ โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมายเพราะกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิดไม่มีประสิทธิภาพ และขาดความมุ่งมั่นทุ่มเทในการทำงานด้วย
.....จึงแทบจะไม่ปรากฏข่าวว่าผู้กระทำความความผิดถูกดำเนินคดีฟ้องต่อศาลและมีคำพิพากษาลงโทษ อันจะมีผลให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว”
ในวันเดียวกัน (28 ม.ค.63) เฟซบุ๊ก ดร.เสรี วงษ์มณฑา ผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย คณาจารย์สถาบันทิศทางไทย นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ก็โพสต์ เช่นกันว่า
“อยากให้อะไรเกิดขึ้นกับ Fake news อยากให้คนปล่อย Fake news ถูกจัดการใช่ไหม ถ้ายังไม่มีการจัดการ ก็ต้องด่า ปอท.ค่ะ นั่นถึงจะถูก
ด่า DES กันไปเรื่อยๆ ไม่ด่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ไม่บอกให้คนเสียหายไปแจ้งความ คนปล่อย Fake news ก็ลอยนวล เราก็ไม่พอใจกัน แล้วก็ด่าผิดที่กันอยู่แบบนี้
แก้ไม่ได้หรอกค่ะ คิดจะด่า ปอท. บ้างไหมคะ ด่าให้ถูกที่บ้างเถอะค่ะ
1. DES มีหน้าที่แยกแยะ ข่าวไหนจริง ข่าวไหนลวง แล้วบอกให้ประชาชนรู้
2. ประชาชนที่รู้ความจริง ควรช่วยกันโพสต์ แล้วเราก็ช่วยกันแชร์
3. ผู้เสียหายจาก Fake news ต้องไปแจ้งความกับ ปอท.. ให้จัดการกับคนปล่อย Fake news
4. ปอท. จะต้องทำงานเอาจริงเอาจัง จัดการกับคนที่ปล่อย Fake news ตามกฎหมาย
5. ถ้า ปอท. ไม่จัดการ พวกเราประชาชนต้องช่วยกันกดดัน (ด่ากันให้ถูกที่เสียทีนะ) ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดถึงการทำงานของ ปอท. เลย แล้วก็หงุดหงิดใส่ DES ทั้งที่เขาไม่มีอำนาจในการจัดการกับคนปล่อย fake news เขาทำได้แค่เผยแพร่ความจริงที่แตกต่างจาก Fake news ค่ะ.”
อย่างไรก็ตาม จากกรณีการระบาดของ "ไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019" หรือ โรคทางเดินหายใจร้ายแรง ที่เกิดจากไวรัสโคโรนาข้ามสปีชีส์จากค้างคาวผ่านงูเห่ามาติดเชื้อในคน ก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ เริ่มระบาดในประเทศจีน เมืองอู่ฮั่น มณฑลเหอเป่ย ตั้งแต่วันที่ 31 ธ.ค. 62 ที่ผ่านมา
จนถึงเวลานี้มีกระแสข่าวที่เกี่ยวกับไวรัสโคโรนาเป็นจำนวนมาก และมีการแชร์โพสต์ ทั้งคลิปวิดีโอ รูปภาพ รวมถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งข่าวจริง และข่าวปลอม
ล่าสุด Anti-Fake News Center Thailand หรือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม โดยการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี ได้ทำการตรวจสอบข้อมูล และรวบรวมข่าวปลอมที่เกิดขึ้น ดังนี้
- ข่าวปลอม สีจิ้นผิงสั่งใช้กฎหมายสูงสุด วิสามัญโดยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับไวรัส
- ข่าวปลอม ผู้ป่วยติดเชื่อไวรัสโคโรนา เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ป.แพทย์ 1 นครราชสีมา
- ข่าวปลอม พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา เสียชีวิตที่ภูเก็ต เพิ่มอีก 1 ราย
- ข่าวปลอม พบผู้ป่วยชาวจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา รักษาตัวที่ รพ.ราชธานี จ.อยุธยา
- ข่าวปลอม พัทยาพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา 1 ราย
- ข่าวปลอม เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สามารถติดต่อผ่านการมองตาได้
- ข่าวปลอม คลิปสุดช็อค ไวรัสโคโรนา ทำคนล้มทั้งยืน
- ข่าวปลอม กรมควบคุมโรคยกเลิกการคัดกรองผู้โดยสารด้วยเทอร์โมสแกน
- ข่าวปลอม พนักงานการบินไทย ติดโรคปอดอักเสบจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
ล่าสุด วันนี้ (28 ม.ค.63) ทวิตเตอร์ได้ขึ้นคำเตือน หากมีผู้ใช้งานกดเข้าไปที่แฮชแท็ก #ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 ซึ่งระบุว่า "รู้เรื่องไวรัสโคโรนา เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับข้อมูลที่ดีที่สุดเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา สามารถดูข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุข องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย หรือ ติดต่อสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422"
ส่วนประเด็นที่ว่า ไวรัสโคโรนา สามารถติดต่อด้วยการมองตา และปัสสาวะนั้น ก็ไม่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เป็นเชื้อโรคติดต่อทางเดินหายใจ เชื้อจะอยู่ในเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจ การแพร่กระจายจะออกมาผ่านกับน้ำมูกน้ำลาย
การป้องกัน จึงทำได้ด้วยการหลีกเลี่ยงคลุกคลีกับผู้ป่วยที่มีไข้ ไอ จาม หากเลี่ยงไม่ได้ให้สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อยๆ ปกติเชื้อไวรัสโคโรนา เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ เชื้อต้องมาจากระบบที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจจึงจะติดได้ ซึ่งปัสสาวะไม่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ไม่ใช่สารคัดหลั่ง แต่เป็นเพียงของเสียจากร่างกายเท่านั้น จึงไม่ทำให้เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอย่างแน่นอน(ไทยรัฐออนไลน์/28 ม.ค.63 )
ที่น่าสนใจไปกว่านั้น แถลงการณ์ กรณี “ไวรัสโคโรนา” ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 63 ก็แสดงความเป็นห่วงเรื่องข่าวปลอมด้วยเช่นกัน
โดยตอนหนึ่ง กล่าวว่า “...สิ่งที่น่าเป็นห่วง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโรคระบาด คือ “ข่าวปลอม” รวมทั้งแหล่งข่าวที่หวังดี แต่อาจคลาดเคลื่อน รัฐบาลได้วางแนวทางการรับมือ ในการกำหนดช่องทางสื่อสารหลัก เพื่อให้เกิดเอกภาพ และน่าเชื่อถือได้ที่สุด จากกระทรวงสาธารณสุข หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้โดยตรง ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ดังนั้น ผมขอความร่วมมือพี่น้องประชาชนทุกคน สื่อโซเชียล ในการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลทุกครั้ง ก่อนที่จะมีการแชร์ หรือเผยแพร่ออกไป เนื่องจากจะสร้างความสับสน และตื่นตระหนกในภาพรวมของประเทศได้...”
แน่นอน, โพสต์ของอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา แม้ดูเหมือนจะดุดัน และพุ่งเป้าการประณามขั้นเลวหาที่เปรียบไม่ได้ไปที่ ส.ส.ที่นำเอาเรื่องนี้มาขยายผลโจมตีรัฐบาล หรือเท่ากับต้องการสร้างกระแสบิดเบือนให้รัฐบาลทำงานยากขึ้นในการควบคุมการระบาดของโรค และดูแลสถานการณ์การตื่นกลัวของประชาชน ซึ่งผลเสียหายร้ายแรง ก็จะเกิดกับประชาชน แม้ว่าจะได้ผลทางการเมืองอย่างสูงก็ตาม นับเป็นการสมควรอย่างยิ่ง
เพราะนักการเมืองไทย(เห็นจากทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา) ต่อให้เป็นเสรีประชาธิปไตยกว่าทุกประเทศในโลก แต่สำนึกของนักการเมือง ก็ยัง “ศรีธนญชัย” เหมือนเดิม ยังหาช่องของกฎหมายหาผลประโยชน์ หลีกเลี่ยงความผิด ไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล ถ้าตัวเองถูกตัดสินว่าผิด
คิดถึงแต่การเอาชนะทางการเมือง มากกว่าประโยชน์สุขส่วนรวมตามเจตนารมณ์ของประชาธิปไตยเหมือนเดิม เรื่องนี้คนไทยน่าจะรับรู้จนชาชินอยู่แล้ว