ข่าวปนคน คนปนข่าว
** สังคมอุดมเฟกนิวส์ เกรียนคีย์บอร์ดฉวยสถานการณ์“ไวรัสโคโรน่า”ปล่อยข่าวปลอมมันส์มือ ถามกันวุ่น ตำรวจ ปอท. ทำอะไรอยู่
เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจร้ายแรง เริ่มระบาดในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 206 คน แต่ในประเทศไทย คนจำนวนหนึ่งกำลังจะตาย เพราะ“เฟกนิวส์”หรือ ข่าวปลอมกินสมอง ... คงต้องพูดแบบนี้จริงๆ นั่นเพราะตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้ ก็มีการแชร์โพสต์ ทั้งคลิปวิดีโอ รูปภาพ รวมถึงข้อมูลที่เป็น“ข่าวปลอม”กันเต็มโซเชียลมีเดีย สร้างความตื่นตระหนก หวาดกลัวและเข้าใจผิดกันเป็นจำนวนมาก
ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หรือ Anti-Fake News Center Thailand โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ และสังคม หรือ ดีอีเอส ได้ทำการตรวจสอบและรวบรวมไว้ อาทิ ข่าวปลอม คลิปสุดช็อก ไวรัสโคโรนา ทำคนล้มทั้งยืน , ข่าวปลอม "สีจิ้นผิง"สั่งใช้กฎหมายสูงสุด ให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสฯ วิสามัญประชาชนผู้ขัดขืนได้, ข่าวปลอม ผู้ป่วยติดเชื่อไวรัสโคโรนา เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ป. แพทย์ 1 นครราชสีมา, ข่าวปลอม พบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา เสียชีวิตที่ภูเก็ต เพิ่มอีก 1 ราย, ข่าวปลอม พบผู้ป่วยชาวจีนติดเชื้อไวรัสโคโรนา รักษาตัวที่ รพ.ราชธานี จ.อยุธยา, ข่าวปลอม พัทยาพบผู้ป่วยเสียชีวิตจากไวรัสโคโรนา 1 ราย, ข่าวปลอม เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ สามารถติดต่อผ่านการมองตาได้, ข่าวปลอม กรมควบคุมโรค ยกเลิกการคัดกรองผู้โดยสารด้วยเทอร์โมสแกน, ข่าวปลอม พนักงานการบินไทย ติดโรคปอดอักเสบ จากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่...
นี่ยังไม่นับกรณีที่ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่รายหนึ่ง เอาภาพตลาดในเมืองอู่ฮั่น ที่มีผ้าพลาสติกคลุมหลังจากปิดร้าน ไปใส่ข้อความบิดเบือนว่าเป็น "ศพคนตายจากเชื้อไวรัส" แต่ไม่มีญาติมารับศพ จนต้องเอาผ้าคลุมไว้ ...หรือ กรณีที่นักเรียนไทยในประเทศจีนรายหนึ่งในเมืองต้าลี่ ไลฟ์สด อ้างว่าตนเองไม่ได้รับความช่วยเหลือจากทางการไทย หรือว่ามีการติดต่อจากสถานทูตไทยเลย อีกวัน 2 วันคงติดเชื้อตายแน่ๆ ทั้งที่เมืองต้าลี่อยู่ห่างจากอู่ฮั่น ถึง 1,865 กิโลเมตร และไม่ใช่พื้นที่การระบาดของเชื้อไวรัส ทุกอย่างในเมืองยังสามารถดำเนินไปได้ตามปกติ จะออกไปไหนก็ได้ จะขึ้นเครื่องบินกลับไทยเองก็ได้...
แน่นอนละ "ข่าวปลอม" พวกนี้ นอกจากสร้างความตื่นตระหนกให้ชาวบ้านที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงแล้ว ยังสามารถดิสเครดิตรัฐบาลได้ด้วย นักการเมืองฝ่ายค้านบ้านเรา จึงงับเอาไปขยายความต่อ แล้วก็มีคนที่หลงเชื่อ !!
“ชูชาติ ศรีแสง”อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา ถึงกับออกมาประณามส.ส.ที่นำเอาเรื่องนี้มาขยายผลโจมตีรัฐบาล หรือเท่ากับต้องการสร้างกระแสบิดเบือน ให้รัฐบาลทำงานยากขึ้นในการควบคุมการระบาดของโรค และดูแลสถานการณ์การตื่นกลัวของประชาชน ซึ่งผลเสียหายร้ายแรง ก็จะเกิดกับประชาชน แม้ว่าจะได้ผลทางการเมืองอย่างสูงก็ตาม
อันที่จริง การสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ข่าวปลอมอื่นๆ เข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) "มีโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท" หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่ที่ยังมีการกระทำกันอยู่ โดยไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย เพราะกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการดำเนินคดีแก่ผู้กระทำความผิด "ไม่มีประสิทธิภาพ" และ"ขาดความมุ่งมั่นทุ่มเท" ในการทำงานด้วย จึงแทบจะไม่ปรากฏข่าวว่าผู้กระทำความความผิด ถูกดำเนินคดีฟ้องต่อศาล และมีคำพิพากษาลงโทษ อันจะมีผลให้ผู้กระทำความผิดเกิดความเกรงกลัว...
"ดร.เสรี วงษ์มณฑา" นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด ออกมาสำทับผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “อยากให้อะไรเกิดขึ้นกับ Fake news อยากให้คนปล่อย Fake news ถูกจัดการใช่ไหม ถ้ายังไม่มีการจัดการ ก็ต้องด่า ปอท. ค่ะ นั่นถึงจะถูก ... ด่า DES กันไปเรื่อยๆ ไม่ด่ากองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ไม่บอกให้คนเสียหายไปแจ้งความ คนปล่อย Fake news ก็ลอยนวล เราก็ไม่พอใจกัน แล้วก็ด่าผิดที่กันอยู่แบบนี้ ... แก้ไม่ได้หรอกค่ะ คิดจะด่า ปอท.บ้างไหมคะ ด่าให้ถูกที่บ้างเถอะค่ะ
“1.DES มีหน้าที่แยกแยะ ข่าวไหนจริง ข่าวไหนลวง แล้วบอกให้ประชาชนรู้ 2. ประชาชนที่รู้ความจริง ควรช่วยกันโพสต์ แล้วเราก็ช่วยกันแชร์ 3. ผู้เสียหายจาก Fake news ต้องไปแจ้งความกับ ปอท. ให้จัดการกับคนปล่อย Fake news 4. ปอท. จะต้องทำงานเอาจริงเอาจัง จัดการกับคนที่ปล่อย Fake news ตามกฎหมาย 5. ถ้าปอท. ไม่จัดการ พวกเราประชาชนต้องช่วยกันกดดัน (ด่ากันให้ถูกที่เสียทีนะ) ที่ผ่านมาไม่มีใครพูดถึงการทำงานของ ปอท. เลย แล้วก็หงุดหงิดใส่ DES ทั้งที่เขาไม่มีอำนาจในการจัดการกับคนปล่อย Fake News เขาทำได้แค่เผยแพร่ความจริงที่แตกต่างจาก Fake newsค่ะ”
**"เทพไท" ชิ่งม็อบสวนยาง แต่ "แถสีข้างถลอก" ในเฟซบุ๊ก บอกถ้าจะทวงสัญญาเรื่องราคายางให้ไปทวงที่ พลังประชารัฐ ไม่ใช่มาหาประชาธิปัตย์
จากปัญหาราคายางตกต่ำมาต่อเนื่องนานนับปี บางครั้งบางช่วงหล่นไปอยู่ที่ "3 กิโลร้อย" จะมีกระเตื้องขึ้นมาบ้างก็ไม่เคยถึงกิโลละ 50 บาท ทำเอาชาวสวนยางในภาคใต้โอดครวญไปตามๆ กัน...ทั้งที่ตอนช่วงหาเสียงเลือกตั้ง บรรดาผู้สมัครส.ส. ต่างหาเสียงกับนโยบายราคายางพารา... อย่างพรรคประชาธิปัตย์ กำหนดขั้นต่ำไว้ที่กิโลละ 60 บาท ส่วนพรรคพลังประชารัฐ เกทับไป 5 บาท บอกว่าราคายางต้องได้ 65 บาท
ล่าสุด เมื่อสองสามวันก่อนหน้านี้ ชาวสวนยางเมืองคอน หลายร้อยคนได้นัดรวมตัวกันที่ แยกควนหนองหงษ์ อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช เพื่อเรียกร้องเรื่องนี้ เพราะทั้ง"ประชาธิปัตย์" และ"พลังประชารัฐ" ต่างก็ได้เป็นรัฐบาลกันแล้ว แต่ราคายางก็ยังไม่โงหัวขึ้นมาเลย
หลังการรวมพลก็เคลื่อนขบวนไปยังบ้านของ "เทพไท เสนพงศ์" ส.ส.ประชาธิปัตย์ เพื่อทวงถามว่า นโยบายที่เคยหาเสียง เคยรับปากชาวสวนยางเอาไว้ ตอนนี้ได้ทำอะไร ไปถึงไหนแล้ว...แต่ปรากฏว่า "เทพไท" ไม่อยู่บ้าน
สอบถามได้ความว่า ไปงานศพชาวบ้านที่ อ.ชะอวด ...ชาวสวนยางก็ตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมไปงานศพแต่หัววัน ทั้งที่ตามปกติแล้วน่าจะไปฟังพระสวดในช่วงหัวค่ำ และจุดที่ชาวสวนยางรวมพล ก็อยู่ที่ อ.ชะอวด "เทพไท" น่าจะรู้ ...นี่แสดงว่าเจตนา"ชิ่ง" เลยถ่ายรูปหมู่ที่ป้ายหน้าบ้าน "คว่ำนิ้วโป้ง" เป็นสัญญลักษณ์ให้รู้ว่าไม่พอใจ
จากนั้น ก็เคลื่อนขบวนไปที่บ้าน "ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ" ส.ส.พลังประชารัฐ ซึ่ง "ดร.รงค์" ก็ออกมาต้อนรับขับสู้ รับฟังข้อเรียกร้อง พร้อมชี้แจงว่า ที่หาเสียงเรื่องราคายางพาราในช่วงนั้น เป็นนโยบายของแต่ละพรรค และเมื่อร่วมรัฐบาลแล้วก็กำลังดำเนินการ ให้เป็นนโยบายของรัฐบาล เมื่อชาวสวนยางเดือดร้อนกันอย่างนี้ ก็จะหาทางนำเข้าที่ประชุมครม. เพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ ...หลังจากมีการพูดคุยกันแล้ว ก็ได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน กันที่บริเวณบ้าน "ดร.รงค์" ก่อนจะเดินทางกลับไปรวมตัวกันอีกครั้ง ที่แยกควนหนองหงษ์...
วันรุ่งขึ้น "เทพไท" โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงชาวสวนยางที่บุกไปหาถึงบ้าน ว่า... การเดินทางมาทวงสัญญาของกลุ่มแกนนำผู้ชุมนุม อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง... เรื่องนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรค มีความแตกต่างกัน ในส่วนของประชาธิปัตย์นั้น ได้หาเสียงโดยใช้นโยบายประกันรายได้เกษตรกร กำหนดให้ยางพารากิโลละ 60 บาท ปาล์มน้ำมันกิโลละ 4 บาท มีเอกสารยืนยันชัดเจน...
ส่วนนโยบายหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐ ก็ปรากฏอยู่ตามเอกสาร และป้ายโฆษณาหาเสียงอย่างเปิดเผยว่า จะทำให้ราคายางพารา กิโลละ 65 บาท ปาล์มน้ำมันกิโลละ 5 บาท แถมมีการยืนยันว่า"สามารถทำได้จริงและทำทันที" เพราะฉะนั้นถ้าหากผู้ชุมนุม ต้องการที่จะได้ราคายางพารากิโลละ 65 บาท ก็ต้องไปทวงสัญญากับพรรคพลังประชารัฐ ไม่ใช่มาทวงเอากับพรรคประชาธิปัตย์...
เป็นไง!! ลีลาของ "เทพไท" นอกจาก "แถจนสีข้างถลอก" แล้วยังโบ้ยว่าเป็นความผิดของพลังประชารัฐ !! ทั้งๆ ที่เรื่องการแก้ปัญหาราคายางพารา และพืชผลทางการเกษตรทั้งหลาย เป็นเรื่องที่อยู่ในความดูแล รับผิดชอบของ กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการ กำกับดูแลอยู่
ไม่เพียงเท่านั้น "เทพไท" ยังแถลงข่าวเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศที่ฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า ล่าสุด องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ ประกาศดัชนีความโปร่งใส หรือ "ดัชนีคอร์รัปชัน"ประจำปี 2562 ปรากฏว่า ประเทศไทยร่วงไปอยู่อันดับ 101 จาก 180 ประเทศทั่วโลก...ยิ่ง เมื่อดูย้อนหลังไปเมื่อปี 2560 อยู่อันดับที่ 96 ... ปี 2561 อยู่อันดับที่ 99 แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลนี้ล้มเหลวในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ยิ่งอยู่ดัชนียิ่งดิ่ง ทั้งที่ตอนร่างรัฐธรรมนูญ ก็บอกว่าเป็น "รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง"
จากนั้นก็วกเข้าเรื่องว่า อย่างนี้ต้องแก้รัฐธรรมนูญ และ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ต้องปรับปรุง กวดขัน ตรวจสอบการทำงานของทุกภาคส่วน ที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต คอร์รัปชัน เพื่อทำให้ดัชนีความโปร่งใสของประเทศ อยู่ในลำดับที่ดีขึ้นกว่านี้ จะได้ไม่เป็นที่อับอายต่อประชาคมโลก...
นี่แหละ "เทพไท สายล่อฟ้า" ขาป่วน ขาเปรี้ยว แห่งปชป. ... ฝ่ายค้านในรัฐบาลตัวจริง !!