xs
xsm
sm
md
lg

ข่าวปนคน คนปนข่าว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

ข่าวปนคน คนปนข่าว

** พรรคร่วมรัฐบาลเสียบกันอุตลุด จากเรื่องเสียบบัตรแทนกัน ล่าสุด "ถาวร เสนเนียม" คนประชาธิปัตย์ โดนเข้าบ้างแล้ว จากที่ก่อนหน้านี้ มีแค่ภูมิใจไทย และ พลังประชารัฐ ที่ตกเป็นจำเลย

เรื่อง"เสียบบัตรแทนกัน" ในการโหวต ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ทำเอาวุ่น จนต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ ตีความ ซึ่งล่าสุดศาลฯ ได้รับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัย แล้วว่าจะถึงขั้น "โมฆะ" หรือไม่อย่างไร
ต้นเรื่องเสียบบัตรแทนกันนี้ เริ่มจาก "นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ" รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต ส.ส.พัทลุง หลายสมัย ออกมาแฉว่า "ฉลอง เทอดวีระพงศ์" ส.ส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย และ "นาที รัชกิจประการ" ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ไม่อยู่ในที่ประชุมสภาฯ ในวันที่มีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 แต่ปรากฏว่า มีชื่อเป็นผู้ลงคะแนนเห็นชอบใน ร่างกฎหมายดังกล่าว... ซึ่งจากการตรวจสอบของ "สรศักด์ เพียรเวช" เลขาธิการสภาผู้แทนฯ ก็พบว่ามีการเสียบบัตรโหวตแทนกันจริง
เรื่องไม่หมดแค่นั้น เมื่อทีมข่าวช่อง 7 HD ที่ไปติดตามทำข่าว 4 วันของการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.งบฯ 63 ได้พบภาพ ส.ส.ถือบัตรลงคะแนนอยู่ในมือมากกว่า 1 ใบ บางคนก็เห็นชัดๆว่า เสียบบัตรลงคะแนนมากกว่า 1 ครั้ง เมื่อมีการแพร่ภาพออกไป และมีการตรวจสอบก็ปรากฏว่า เป็นภาพของ "ภริม พูลเจริญ" ส.ส.สมุทรปราการ พรรคพลังประชารัฐ ที่มีการกดบัตรลงคะแนน 2 ครั้ง และ "สมบูรณ์ ซารัมย์" ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย พี่ชายของ "โสภณ ซารัมย์" อดีต รมว.คมนาคม ที่ถือบัตรลงคะแนนในมือ 2 ใบ แต่มีการกดลงคะแนน 1 ครั้ง
กลายเป็นว่าเรื่องเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน ไม่ได้มีเฉพาะ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย แต่ยังมี ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ด้วย
ในรายของ "ภริม พูลเจริญ" นั้น มีการชี้แจงว่า เนื่องจากช่องเสียบบัตรลงคะแนนในห้องประชุมสภาฯ มีไม่เพียงพอกับจำนวน ส.ส. จึงรับการไหว้วานจาก "ทวิรัฐ รัตนเศรษฐ" ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชารัฐ ให้ช่วยเสียบบัตรลงคะแนนให้ โดยที่เจ้าตัวก็อยู่ในที่ประชุมด้วย ซึ่งเรื่องนี้ "ชวน หลีกภัย" ประธานสภาฯ บอกว่า แม้เครื่องลงคะแนนในห้องประชุมมีไม่เพียงพอกับจำนวนส.ส. หรือไม่ว่าจะเสียบบัตรแทนกันด้วยกรณีใด ก็ไม่สามารถทำได้...
เมื่อเห็นความผิดชัดแจ้งเช่นนี้ "พี่ศรี" ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ก็นำเรื่องไปร้องต่อ ป.ป.ช. ว่า การกระทำดังกล่าว อาจเข้าข่ายการขัด รธน. มาตรา 185 คือ เป็นการก้าวก่าย หรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือของผู้อื่น และอาจเข้าข่ายทุจริตต่อหน้าที่ ตามพ.ร.ป.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต และเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ในประเด็นที่ต้องถือผลประโยชน์ของประเทศชาติ เหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน และต้องไม่มีพฤติการณ์ที่รู้เห็น หรือยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตําแหน่งหน้าที่ของตน แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ... หาก ป.ป.ช.วินิจฉัยว่ามีความผิดตามข้อห้ามข้างต้น โทษถึงขั้นสิ้นสภาพ ส.ส.
โดย 4 ส.ส.ที่ถูก "พี่ศรี" ร้องต่อ ป.ป.ช. คือ "ฉลอง-นาที-ภริม และสมบูรณ์"
เรื่องเสียบบัตรแทนกัน นึกว่า "ตัวละคร" จะจบลงแค่นั้น... แต่ไม่ใช่...ล่าสุด สถานีโทรทัศน์ของรัฐ ช่องหนึ่ง ได้ทำสกู๊ปข่าว ว่าด้วยเรื่องเสียบบัตรแทนกัน โดยมีภาพ "ถาวร เสนเนียม" รมช.คมนาคม และ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่กำลังใช้มือขวาดึงบัตรใบหนึ่งออกจากช่องเสียบบัตรลงคะแนน และใช้มือซ้ายเสียบบัตรลงคะแนน อีกใบเข้าไปในช่องเสียบบัตร ทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยว่า เป็นการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันหรือไม่...
"ถาวร เสนเนียม" จึงรีบออกมาชี้แจงว่าไม่ได้เสียบบัตรแทนกัน แต่เป็นเพราะห้องประชุมมีที่เสียบบัตรไม่เพียงพอ ตรงจุดที่ตนเองนำบัตรไปเสียบนั้น เป็นที่นั่งประจำของ"ประกอบ รัตนพันธุ์" ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ บังเอิญช่วงที่มีการลงมติ "ประกอบ" ไม่ได้อยู่ที่นั่ง แต่มีบัตรเสียบคาไว้ ตนจึงดึงบัตรของประกอบออก แล้วเสียบบัตรของตนเองเพื่อลงมติ จังหวะนั้น ประกอบ ก็เดินเข้ามาพอดี...ยืนยันไม่ได้เสียบบัตรลงคะแนนแทนใคร
ภาพของเรื่องเสียบบัตรแทนกันในตอนนี้ "ในทางกฎหมาย" ยังไม่มีข้อสรุปว่าเป็นเรื่องจริง เรื่องเท็จ แต่ในทางการเมือง เห็นชัดแล้วว่า พรรคร่วมรัฐบาล "เสียบกันเอง" แบบไม่มีใครยอมใคร !!

**"ข่าวปลอม"หนักข้อ"อนุทิน"ซัด ไม่รักชาติ ร้ายกว่าไวรัส สั่งอธิบดีควบคุมโรคแถลงข่าวสู้ สธ. แจ้งจับแล้ว 7 ราย กระทรวงดีอีเอส-ปอท.ต้องเร่งมือ!!

ต้องบอกว่า “ข่าวปลอม”ณ เวลานี้ ระบาดหนัก และแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 เสียอีก... ที่แชร์กันอยู่ในโซเชียลมีเดียวานนี้ ก็มีเรื่องคนติดเชื้อไวรัสโคโรนา ที่เชียงใหม่ ทั้งที่ความจริงเป็นหวัดด้วยเชื้อไวรัส H3N2 ซึ่งมันก็คือไข้หวัดใหญ่ธรรมดานั่นหละ, คนจีนล้มฟุบที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพราะพิษเชื้อไวรัส ทั้งที่ข้อเท็จจริงคือ เมาสุรา หลังจากทำพาสปอร์ตหาย , ชาวเมืองอู่ฮั่น 5 ล้านคน เดินทางออกจากเมืองช่วงตรุษจีน โดยมาไทยมากที่สุด ก่อนปิดเมืองเพื่อระงับการระบาดของเชื้อไวรัส ซึ่งข้อเท็จจริงคือ ส่วนใหญ่ชาวเมืองอู่ฮั่น เดินทางภายในประเทศ มาไทยประมาณ 2 หมื่นคน...
และที่ยังเป็นประเด็นดรามากันอยู่ ก็เรื่องการนำคนไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศ ในช่วงที่ทางการจีนยังไม่ไฟเขียว ให้เครื่องบินจากประเทศไทยบินเข้าไป กลายเป็นเชื้อให้มีคนนำไปปั่นกระแส"ข่าวปลอม" อ้างว่าประเทศต่างๆ แม้แต่ ลาว เขาอพยพคนของเขาออกมาหมดแล้ว ประเทศไทยมัวทำอะไรกันอยู่ ...ซึ่งข่าวปลอมชิ้นนี้เป็นอาหารอันโอชะของฝ่ายค้าน แม้แต่ “เจ๊หน่อย”คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ยังกระโดดเข้างับ ทั้งที่ความเป็นจริง คือ ขณะนี้มีแค่ญี่ปุ่น ที่ใช้ข้อตกลงความสัมพันธ์พิเศษกับจีน นำคนญี่ปุ่นออกมาจากเมืองอู่ฮั่นได้เป็นชาติแรก ตามด้วยสหรัฐอเมริกา เป็นชาติที่สอง เท่านั้น...
ข่าวปลอมระบาดไม่หยุดแบบนี้ ระหว่างตรวจเยี่ยมเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิงาน ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรมว.สาธารณสุข ถึงกับต้องออกมาตวาดว่า ... คนบ้าพวกนี้ ไม่มีความรักชาติ รักบ้านเมืองเลย คนที่มีความทุกข์เดือดร้อน เจ้าหน้าที่ ข้าราชการที่ทำงานอยู่เดือดร้อนกันแสนสาหัส แล้วมาทำความกดดัน และยังมากลั่นแกล้งกันแบบนี้อีก พร้อมกับบอกว่าขอให้รับฟังการแถลงจากกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น ตอนนี้ได้บังคับให้อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวให้มากที่สุด ไม่ใช่บ่ายสองมาแถลงทีหนึ่ง หรือเมื่อมีเหตุการณ์ควรจะรายงาน ก็ให้แถลง หรือถ้าไม่มีเหตุการณ์อะไร ก็ให้แถลงสรุปทุกวัน หรือแนะแนว เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ใส่หน้ากาก ใช้เจลล้างมือบ่อยๆ ก็จะลดความเสี่ยงได้มาก
ไม่เพียงแค่ให้สัมภาษณ์สื่ออย่างเดียว "อนุทิน ชาญวีรกูล" ยังโพสต์ในเฟซบุ๊ก ยืนยันถึงมาตรฐานการรับมือโรคระบาดของประเทศไทย ซึ่งอยู่ลำดับ 6 ของโลก และ ลำดับที่ 1 ของเอเชีย... “ขอความกรุณาผู้ไม่หวังดี และ สื่อมวลชนบางท่าน ที่กำลังสนุกกับการสร้างข่าว สร้างภาพ เพื่อขายข่าว เพื่อเรียกเรตติ้งให้ตัวเอง และดูถูกว่ากระทรวงสาธารณสุข ประเทศไทยขาดความรู้ ได้โปรดหยุดการเสนอข่าว สร้างข่าว ที่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก และ ความไม่เชื่อมั่นต่อการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้วยความทุ่มเท”รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุขวิงวอน พร้อมกับโพสต์ข้อความเพิ่มเติมว่า “ที่ร้ายกว่าไวรัส แพร่กระจาย คือวายร้าย แพร่ข่าวปลอม”
แล้วข่าวปลอมแพร่ระบาดยั้วเยี้ยกันแบบนี้ หน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว ก็เพิ่งเห็นความคืบหน้าจาก "นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์" รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่แถลงเมื่อวานนี้ (29 ม.ค.)ว่า สธ.ร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) แจ้งความเอาผิดกับผู้ปล่อยข่าวลวง เกี่ยวกับเชื้อดังกล่าวแล้ว 7 ราย และขออย่าเชื่อข่าวลือใดๆ หากมีข้อสงสัยให้สอบถามมาที่ กระทรวงสาธารณสุข หรือสายด่วน กรมควบคุมโรค 1422 ตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วน“พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์”รัฐมนตรีดีอีเอส ก็บอกว่า ตอนนี้เรามีศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ในการกรองข่าว มีช่องทางในการนำเสนอต่อประชาชน ผ่านไลน์ 1,300,000 กว่าคน ตั้งแต่มีเรื่องไวรัสโคโรนา เราขึ้นข่าวถี่มาก เพราะข่าวปลอมมีเยอะ หลายคนที่บอกว่า ศูนย์เงียบ อาจจะไม่เข้าใจ ไม่ทราบช่องทางที่เรากระจายข่าว ก็อยากฝากประชาสัมพันธ์ให้เข้ามาเป็นสมาชิกในไลน์กรุ๊ป “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม”จะได้ทราบเวลามีข่าวปลอม จะได้ช่วยแชร์ได้ข่าวว่าใดจริงไม่จริง
“รัฐมนตรี บี.”บอกอีกว่า เราพยายามเร่งทำ เพราะรู้ว่าข่าวปลอมเยอะจริง พยายามจะติดตามตรวจจับต้นตอข่าวปลอม และติดต่อข้อมูลส่งให้ ปอท. ในการจับผู้กระทำผิด ในวันสองวันนี้เยอะมาก ก็พยายามประสานว่า ในวันสองวันนี้ จะไปดำเนินการจับได้หรือไม่...
ฟังจากที่ รัฐมนตรีดีอีเอส ให้สัมภาษณ์ ก็ต้องบอกว่า การเอาผิดกับคนปล่อยข่าวปลอมยังไม่ทันการณ์อยู่ดี เพราะถ้าดูตามขั้นตอน ก็ยังต้องรอไปแจ้งความต่อตำรวจ ปอท. ก่อน แล้วกว่า ปอท. จะสืบสวนหาข้อมูล กว่าจะติดตามจับกุมตัวได้ ความเสียหายมันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ในยุคประเทศไทย 4.0 อย่างทุกวันนี้ ถึงเวลาหรือยังที่กระทรวงดีอีเอส จะบูรณาการระบบงานกับ ปอท. ให้งานมันเดินไปแบบอัตโนมัติ ตามจับคนทำผิดได้ทันท่วงที ไม่ต้องรอขั้นตอนยืดยาดแบบเดิมๆ อีก

-----
รูป -นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ - ถาวร เสนเนียม
-อนุทิน ชาญวีรกูล - สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์




กำลังโหลดความคิดเห็น