“ช่อ” บอก “อบอุ่นมาก” แต่ “ทอน” เกือบไม่รอดถูกม็อบเมืองคอนล้อมรถ “สมชัย” คิดถึงกรณี “อภิสิทธิ์” ขู่โทษหนัก แขวะ “ลุงตู่” ไหนบอกสงบ ข่าวล่ามาเร็ว กกต.รับลูก “พี่ศรี” รวบรวมหลักฐาน “คณะก้าวหน้า” ผิด ม.111 แล้ว
น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ (11 พ.ย. 63) “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ได้แชร์รูปภาพทีมงาน ขณะที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมทีมงานคณะก้าวหน้าเดินทางถึง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า
“อบอุ่นมากๆ ไม่ต่างจากจังหวัดอื่นๆ ที่เราไป ชาวนครที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ต้องการการเมืองที่ก้าวหน้า มาร่วมกันแสดงออกนะคะ”
ขณะที่ทวิตเตอร์ของคณะก้าวหน้า โพสต์ว่า “ธนาธร ถึง จ.นครศรีธรรมราช แล้ว เจอมวลชนทักทายถ่ายรูป ชูสามนิ้วกันตั้งแต่ลงจากเครื่องบิน หัวใจสีส้ม พี่น้องนครศรีธรรมราชผู้รักประชาธิปไตยมีไม่น้อยจริงๆ ค่ะ”
แต่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับที่โซเชียลฯ ให้ความสนใจและแชร์คลิปเหตุการณ์ที่ชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวนหนึ่งล้อมรถยนต์ที่เชื่อว่า มีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้านั่งอยู่ภายใน
ทั้งนี้ นายธนาธรลงพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อช่วยผู้สมัครนายก อบจ.คณะก้าวหน้าหาเสียง นอกจากนี้ยังมีข่าวว่านายธนาธรยกเลิกโปรแกรมที่จะไปหาเสียงที่ อ.ทุ่งสง ในวันนี้ด้วย เพราะกลัวกลุ่มปกป้องสถาบันฯ จะตามไปราวีที่ อ.ทุ่งสงอีก
ขณะเดียวกัน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า
“ดูคลิปธนาธรโดนเสื้อเหลืองรุมล้อมรถเมื่อไปลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเลือกนายก อบจ.นครศรีธรรมราช เมื่อไม่กี่ชม.ที่ผ่านมา (เช้าวันที่ 11 พ.ย. 2563)
1. นึกออกถึงบรรยากาศที่ อภิสิทธิ์(เวชชาชีวะ) ถูก นปช.ล้อมและทุบรถในกระทรวงมหาดไทย เมื่อปี 2552 (ผู้ทำผิด ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือน)
2. นึกออกถึงบรรยากาศที่กลุ่มเสื้อแดง และแดงเชียงใหม่ ล้อม ปา ทุบรถ จุดประทัด ใช้รถกระจายเสียง ขับไล่ อภิสิทธิ์ที่ไปปราศรัยหาเสียงที่เชียงใหม่ เมื่อปี 2555
3. นึกออกถึงบรรยากาศความขัดแย้งในการเลือกตั้งในอดีต ที่พรรคประชาธิปัตย์ไปภาคเหนือและอีสานไม่ได้ ส่วนพรรคเพื่อไทยไปภาคใต้ไม่ได้
4. แต่นึกไม่ออกถึง ใครหว่า ที่บอกว่าเลือกมันแล้วประเทศจะสงบ”
ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน มีรายงานข่าวว่า ในการประชุม กกต.วานนี้ (10 พ.ย.) กกต.ได้มีการหยิบยกกรณีการเคลื่อนไหวของแกนนำคณะก้าวหน้า คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ในการช่วยผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเป็นนายกและสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดขึ้นมาพูดคุย
โดยเห็นว่าลักษณะการเคลื่อนไหวมีข้อเท็จจริงหลายกรณีที่ทำเหมือนพรรคการเมือง ซึ่งทางสำนักงานฯก็ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยได้มีการยื่นร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบในประเด็นนี้ และด้านกิจการพรรคการเมืองของสำนักงานกำลังเร่งรวบรวมข้อมูล ประเด็นข้อกฎหมายต่างๆ เพื่อเสนอ กกต.พิจารณาดำเนินการ
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาการดำเนินการกับคำร้องลักษณะนี้ของ กกต. เมื่อสำนักงานฯมีการรวบรวมข้อมูล ประเด็นข้อกฎหมายเสนอเข้าที่ประชุม กกต.แล้ว ก็ขึ้นอยู่กับ กกต.ว่าจะมอบหมายให้นายทะเบียนพรรคการเมืองใช้อำนาจตามมาตรา 7 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้คำชี้แจง หรือให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาเพื่อประกอบการพิจารณา หรือจะมอบหมายให้ด้านสืบสวนทำสำนวนตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวนก็ได้
อย่างไรก็ตาม มาตรา 111 พ.ร.ป.พรรคการเมือง กำหนดไว้ว่า ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ดำเนินกิจการเช่นเดียวกับพรรคการเมือง หรือผู้ใดดำเนินการไม่ว่าด้วยวิธีใด ให้เข้าใจว่า เป็นพรรคการเมืองโดยไม่ได้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 5 ปี
แน่นอน, ประเด็นที่น่าสนใจ และน่าจับตามองอย่างยิ่ง คือ คิวของ แกนนำคณะก้าวหน้า อย่าง นายธนาธร นายปิยบุตร และ “ช่อ” น.ส.พรรณิการ์ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองบ้าง ต่อให้ “แอบ” อยู่เบื้องม็อบราษฎร 63 มาตลอดก็ตาม
ความจริงแล้ว ต้องบอกว่า การชุมนุมของกลุ่มราษฎร 63 ถือว่า คณะก้าวหน้า ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เนื่องเพราะการชุมนุมที่ใช้ข้อเรียกร้องเดียวกันกับนโยบายของคณะก้าวหน้า ย่อมทำให้คณะก้าวหน้าได้ประโยชน์ทั้งการต่อสู้ทางการเมือง และปลุกกระแสความนิยมของคนรุ่นใหม่ ให้เลือกคนของคณะก้าวหน้าด้วย ซึ่งกรณีหลัง คณะก้าวหน้าคาดหวังเอาไว้ค่อนข้างสูง เพราะกระแสขณะนี้ ต้องยอมรับว่า กระแส “ปฏิรูปสถาบันฯ” คนรุ่นใหม่ ตอบรับค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่นายธนาธรถูกไล่ล่าจากม็อบปกป้องสถาบันอยู่ในเวลานี้ก็เป็นผลมาจากการยึดมั่นในนโยบายปฏิรูปสถาบันเช่นกัน ถือเป็นดาบสองคม ในการต่อสู้กับ สิ่งที่คนไทยรักและเทิดทูนอย่างสูง ซึ่งจะมองเพียงมิติเดียวว่าเป็นการจัดตั้งโดยหน่วยงานรัฐก็ไม่ได้
เพราะถ้าใครก็ตามเกิดในประเทศไทยก็จะรับรู้ด้วยจิตสำนึกอยู่แล้วว่า สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่คู่กับคนไทยมาหลายชั่วอายุคน ทั้งยังส่งต่อความจงรักภักดี จากรุ่นสู่รุ่นอีกด้วย จนมาถึงรุ่นที่ประกาศกร้าวให้มันจบที่รุ่นเรา และหลายคนก็เชื่อว่า คำๆนี้ แกนนำคณะก้าวหน้ามีส่วนรู้เห็นด้วย
จึงน่าคิดอยู่เหมือนกัน ว่า การหลอกใช้คนรุ่นใหม่ประท้วงกดดันเพื่อปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น แท้จริงแล้ว ใครได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ ก็ตาม???
เหนืออื่นใด ถ้าวิเคราะห์ตามที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ตั้งคำถามทิ้งท้าย ที่ว่า “ใครหว่า ที่บอกว่าเลือกมันแล้วประเทศจะสงบ” ตอบแบบให้ความเป็นธรรมกับ “ลุงตู่” ก็ต้องย้อนถามว่า ความขัดแย้งแตกแยกวุ่นวายอยู่ในเวลานี้ ใครหว่า จุดกระแส ใครหว่าต้องการปฏิรูปสถาบัน ใครหว่า เหยียบย่ำหัวใจคนไทยส่วนใหญ่ ใครหว่า ทำผิดกฎหมาย แล้วออกมาโวยวายไม่อายเด็ก ป.4 ว่าถูกกลั่นแกล้งรังแก ตีโพยตีพาย พาลพาโลจนก่อม็อบ มาตั้งแต่ก่อนถูกยุบพรรค จนถูกยุบพรรค ที่เอาความแค้นส่วนตัวมาปลุกปั่นคนรุ่นใหม่ ให้สู้แทน รับผิดแทน และถ้าเกิดความรุนแรง ก็ต้องรับเคราะห์แทนด้วย
ฟังให้ดี แม่ค้าที่ระยอง ซึ่งโต้คารมกับนายธนาธร พูดถูก คนไทยยอมรับในสิทธิเสรีภาพ และประชาธิปไตย คุณจะต่อสู้อย่างไรก็ต่อสู้ไป โอเค รับได้ แต่ขออย่างเดียวอย่าแตะต้องสถาบัน นั่นแสดงว่าคนไทยส่วนใหญ่แยกแยะออก และเข้าใจ ว่า สิ่งที่คุณทำนั้น มันมีอะไรที่คนไทยยังเคลือบแคลงสงสัย ในประเด็นนี้ สงสัยว่า สิ่งที่พวกคุณทำมันจะช่วยเตะหมูเข้าปากหมาใคร? และคนไทยไม่ยอมนั่งเอง