8 เหตุผลหลัก “ยิ่งลักษณ์” ลงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีไม่ได้ เพราะ “พี่ชาย” แพ้ไม่เป็น ต้องรักษาฐานอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจรัฐตำรวจ-ครอบมหาดไทย มุ่งหวังผลชนะเลือกตั้ง ขณะที่ “พี่สาว” หวั่นคดีทุจริตสาวถึงตัวบงการใหญ่ โดยเฉพาะการขายข้าวแบบ G to G รวมทั้งเด็กในสายจะถูกสอยเพียบ ขณะที่เงิน 2 ล้านล้านยังเป็นก้อนใหญ่ที่ต้องดันให้จบ-คาด 6 แสนล้านรั่วไหลเข้ามือเจ้าภาพ ด้าน “สหายป่า” ถือหางทักษิณสู้ล้างอำนาจ “อำมาตย์” ไม่ถอย!
2 ปีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 2554 ถูกตราหน้าจากผู้คนในสังคม โดยเฉพาะจากฝ่ายตรงข้ามว่า “อีโง่” ไม่ฉลาด เป็น “พริตตี้” ไม่มีความเหมาะสมที่จะขึ้นมาถึงระดับนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะในช่วงกว่า 50 วันที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) จัดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลนั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ยิ่งโดนดูถูก เหยียดหยามด่าทอ เสียดสีอย่างหนักถึงขนาดถูกด่าเป็น “ดอกทอง” เป็น “คนจ๊าดง่าว” “คนจ๊าดง่าวเหย่งเย่” “กะหรี่ขายชาติ” ฯลฯ
ซ้ำยังถูกแฉเรื่องความสัมพันธ์พิเศษที่ไม่เหมาะสมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่มีใครมีหลักฐานที่จะพิสูจน์ได้เลย นอกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันไปเรื่อย และเลยมาถึงเป็น “คุณแม่ทำร้ายลูกไปป์”
เสียงด่าทอที่รุนแรง และโหดร้ายเหล่านี้จึงนำไปสู่คำถามที่ว่า เหตุใด ยิ่งลักษณ์ จึงอดทนและไม่ทิ้งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีหรือวางมือจากการเมืองไปเลย ตามที่ฝ่ายต่อต้านเรียกร้อง เพราะ
ยิ่งดื้อดึงดันทุรังอยู่ในอำนาจเวลานี้ “ยิ่งลักษณ์” มีแต่เสียกับเสีย?
ที่สำคัญอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่งไม่ได้ และต้องเป็นคนตระกูลชินวัตรเท่านั้นที่จะสานงานต่อในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
8 เรื่อง “ยิ่งลักษณ์” ต้องอยู่!
แหล่งข่าวใกล้ชิดตระกูลชินวัตร และจากพรรคประชาธิปัตย์ วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ยอมลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามที่ฝ่ายต่างๆ รวมถึง กปปส.ต้องการว่าเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์และนิสัยส่วนตัวของคนในตระกูลชินวัตรที่ยิ่งขับไล่ ก็จะยิ่งฮึกเหิมและสู้ไม่ถอยเพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองได้รับความชอบธรรมตามกฎหมาย
“คุณยิ่งลักษณ์ นิสัยจะเหมือนคุณทักษิณมาก หากเมื่อไรถูกบีบ ถูกต้อนจนไม่มีที่จะให้ยืนเธอก็จะหันมาสู้และไม่ยอมง่ายๆ เราจึงมองเห็นอาการแข็งกร้าวที่แสดงออกมาหลายต่อหลายครั้ง เรื่องนี้คนที่เคยร่วมงานในบริษัทกับยิ่งลักษณ์จะรู้ดี เพราะในบริษัทมีผู้บริหารมืออาชีพอยู่เยอะ สู้กัน ฟาดฟันกันมา”
อีกทั้งวันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์มั่นใจแล้วว่า เธอไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกับพี่น้องชินวัตรเท่านั้น แต่ยังมีมวลชนจำนวนหนึ่งที่อยู่ในภาคเหนือ ภาคอีสาน กองทัพ ยังอ้าแขนรับยามที่ยิ่งลักษณ์รู้สึกอ่อนล้า ไม่ปลอดภัย รวมไปถึงมีต่างประเทศให้การยอมรับในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มาจากระบอบประชาธิปไตย
“มีการสร้างพลังให้ยิ่งลักษณ์ ด้วยการตอกย้ำให้รู้ว่าเธอก็มีเขตอำนาจของตัวเอง ก็คือมวลชนภาคเหนือ อีสาน ทำให้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า มีที่พักพิงและจะถอยไม่ได้อีกแล้ว”
ขณะเดียวกันก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะฮึดสู้ขึ้นมาเพราะมั่นใจในเขตอำนาจของตัวเองแล้วนั้น ในเบื้องต้นคนที่ไม่ยอมอย่างเด็ดขาดที่จะให้ยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ “เจ๊ ด.” เพราะทั้ง 2 คนมีอะไรหลายอย่างที่ต้องควบคุมกลไกต่างๆ ไว้ในฐานะ “ผู้ครองอำนาจรัฐ”
1. การทุจริตต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่อยู่ในการพิจารณาของ ป.ป.ช. (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) ที่มีความผิดเต็มๆ ได้แก่ จำนำข้าวที่มี 3 คดีที่เกี่ยวข้องกับคนใกล้ชิดพี่สาวของนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างมาก ได้แก่คดีการขายข้าวแบบ G to G ที่วันนี้ชื่อของ “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รอขึ้นเขียง และอาจสาวต่อถึงคนที่อยู่เหนือขึ้นไป ขณะที่การขายข้าวผ่านผู้ประกอบการ และข้าวถุง ก็เป็นอีก 2 คดีที่อาจสาวถึงคนในตระกูลชินวัตร
เรื่องทุจริตต่างๆ ยังรวมไปถึงรัฐมนตรีที่แต่ละคนมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกันเป็นเครือข่ายการทุจริตใหญ่ที่จำเป็นจะต้องค้ำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องอยู่ในอำนาจต่อไปด้วย ซึ่งตรงนี้พี่สาวของเธอคือเจ้าของเครือข่ายอำนาจทางการเมืองที่มากพอๆ กับพี่ชาย
2.การขัดรัฐธรรมนูญ ไม่รับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ถือเป็นเรื่องร้ายแรง ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะปล่อยให้คนอื่นเข้ามาเป็นรัฐบาลแทนคนในตระกูลไม่ได้เด็ดขาด แม้แต่คนในพรรคเดียวกันที่ไม่ใช่ “ชินวัตร” เพราะคนนอกตระกูลมีสิทธิแปรเปลี่ยนไปได้เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณเคยมีประสบการณ์มาแล้วครั้งที่ส่งนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี และเกิดปัญหาแก๊งออฟโฟร์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่สามารถควบคุมได้
หากปล่อยให้คนอื่นมากุมอำนาจรัฐในเวลานี้ ในยามที่เขาพลาดจากการเดินเกมประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากก่อนหน้านี้ก็มีพฤติกรรมไม่ยอมรับกฎหมายรัฐธรรมนูญมาโดยตลอดด้วยแล้ว ก็จะทำให้เขาเข้าข่ายการเป็น “กบฏ” ที่เป็นคดีร้ายแรงมีโทษหนักหนาสาหัส
3.โครงสร้างรัฐตำรวจเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมให้ผู้อื่นมาคุมอำนาจรัฐแทนคนในตระกูลชินวัตร และยิ่งยอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะให้น้องสาวลาออกจากตำแหน่งนายกฯรักษาการและให้สภาประชาชนตามแบบ กปปส.ที่ประกาศปฏิรูปความเป็นรัฐตำรวจเกิดขึ้น เพราะอย่าลืมว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ที่คุมอำนาจสูงสุดของรัฐตำรวจมานาน แบบที่เรียกว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
อีกทั้งในกระบวนการการต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามที่เน้นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นหลัก การมีอำนาจควบคุมรัฐตำรวจอยู่ ก็จะทำให้เขาสามารถที่จะบงการเรื่องคดีความแบบชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ได้ คดีไหนเป็นของฝ่ายตัวเอง ทำหลักฐานอ่อนได้ คดีไหนเป็นของฝ่ายตรงข้าม ทำหลักฐานได้เร็ว รวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ที่วันนี้คนอย่าง “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ยังทำงานเอื้อประโยชน์ทางการเมืองให้กับฝ่ายตน และเป็นอาวุธที่ทำร้ายฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองได้
อย่าลืมวันนี้คนที่มีบทบาทเอากฎหมายมารุกไล่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส.และพรรคพวก คือดีเอสไอ ที่แม้กฎหมายไม่ได้ระบุไว้ก็ยังลุแก่อำนาจข้ามขั้นไปอายัดบัญชีแกนนำ กปปส. รวมกระทั่งบัญชีอาหารอย่างครัวราชดำเนินได้
4.โครงสร้างที่วางไว้ในกระทรวงมหาดไทย เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ตลอดเวลาของการเข้าเป็นรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ได้ส่งคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ไปดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทั้งโยกย้ายข้าราชการ ทั้งแต่งตั้งข้าราชการฝั่งตัวเอง และวางฐานอำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้งไว้หมดแล้ว ก็เป็นอีกเรื่องที่ยอมให้ฝั่งตรงข้ามมารื้อไม่ได้
5.การหมิ่นสถาบัน ต้องยอมรับว่ามีมวลชนหรือคนในสาย พ.ต.ท.ทักษิณหลายคนที่เป็นกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมที่กระทำการหมิ่นสถาบันโดยตลอด รวมถึงตัว พ.ต.ท.ทักษิณเองด้วย ที่มีผู้เอาหลักฐานต่างๆ มาเปิดเผยถึงพฤติกรรมส่อไปในทางนั้น การให้ฝ่ายตรงข้ามมาเป็นรัฐบาลแทนนั้น ย่อมมีความเสี่ยงอย่างมาก
6.พฤติกรรมของมวลชนคนเสื้อแดง อย่าง นปช. หรือกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ที่แกนนำหลายคนก็มีพฤติกรรมที่กระทำผิดกฎหมาย การรักษาอำนาจไว้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่จะคอยช่วยเหลือคนเหล่านี้
ดัน 2 ล้านล้านให้จบ-คาดรั่ว 6 แสนล้าน
7. โครงการ 2 ล้านล้านบาท ที่แม้จะอยู่ในการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องดำเนินการต่อไป เพราะเกี่ยวข้องกับการชนะเลือกตั้ง กรณีนี้ รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ต้องดูที่ลักษณะนิสัยพื้นเพของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยเฉพาะจะเห็นได้ชัดจากลักษณะการทำธุรกิจของเขา ที่มีความกล้าเสี่ยง ที่จะทำทุกอย่างให้ได้ผลกำไรกลับมาโดยไม่สนใจวิธีการ และไม่ได้สนใจที่จะทำตามขั้นตอนปกติ ดังนั้นตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจ จึงจะเห็นได้ว่ามีทั้งการใช้วิธีแลกเช็ค ทั้งใช้เงินในการได้มาซึ่งสัมปทาน ฯลฯ
“คุณทักษิณเป็นนักธุรกิจ เมื่อลงทุนไปแล้วจะมีการคำนวณว่าสิ่งที่ได้กลับมาคุ้มค่าหรือไม่ ถ้าคุ้มค่าก็จะลงทุนไม่ได้สนใจวิธีการ เรื่องการเลือกตั้งก็เหมือนกัน การเลือกตั้งมีการคำนวณมาแล้วว่าใช้เงินครั้งหนึ่งประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ครั้งนี้อาจใช้มากกว่าแต่ไม่เกิน 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วไม่กี่ปีจะได้คืนทั้งหมด มันคุ้ม”
ดังนั้น ถ้าวันนี้ยังให้น้องสาวรักษาการนายกรัฐมนตรีไว้ได้ ย่อมไม่ได้หมายความว่าเป็นแค่เรื่องของอำนาจ แต่หมายถึงผลประโยชน์ต่อเนื่อง หรือ กำไรระยะยาว
“สมมติ 2 ล้านล้านผ่าน จะมีส่วนหนึ่งที่รั่วไหล เมื่อก่อนมองกันว่าจะรั่วไหล 20% ก็ประมาณ 4 แสนล้าน แต่วันนี้มีการคำนวณใหม่ คือจะมีรั่วไหลมากกว่า 20% คือหมายความว่าเงินที่รั่วไหลจะมีมากกว่า 6 แสนล้าน คิดง่ายๆ ว่าหากครึ่งหนึ่งกลับมาที่เครือข่ายระบอบทักษิณ ก็เป็นเงินมากกว่า 3 แสนล้าน เลือกตั้งครั้งหนึ่งใช้ 2-3 หมื่นล้าน เลือกตั้งอีกหลายรอบก็ยังชนะอยู่ดี”
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะต้องยอมรับว่าชุดคุณค่าของสังคมเมืองกับสังคมชนบทมีหลายชุด และมีระบบการยอมรับ หรือรับได้ในเรื่องต่างๆ ไม่เท่ากัน
เช่น การตอกบัตรแทนเพื่อนของการทำงานในโรงงานในสังคมเมือง หากเจ้านายจับได้ ทั้ง 2 คนจะถูกไล่ออก ขณะที่คนชนบทอาจจะมองว่ามันฝากกันได้ เหมือนใบลางานยังฝากกันได้เลย ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร
หรือในเมืองมีการต่อคิวรอซื้ออาหาร 3 ชม. มีคนมาแซงคนหนึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในชนบทรู้สึกว่า ไม่เป็นไร เป็นต้น
ชุดคุณค่าเหล่านี้มีหลายชุด และเป็นความแตกต่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าใจจุดนี้เป็นอย่างดี ดังนั้น รศ.ดร.ณรงค์จึงมองว่าจะมีการใช้ประโยชน์จากชุดคุณค่าที่แตกต่างนี้ในการหาประโยชน์ทางการเมือง โดย พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้สนใจว่าชุดคุณค่าหลักที่สังคมเมือง คนชั้นกลาง-สูงในเมืองยึดถือจะเป็นอะไร แต่สนใจว่าคนระดับมวลชนทั้งคนเมืองและคนในต่างจังหวัดนั้น มีชุดคุณค่าที่แตกต่าง
“ผมเคยเป็นผู้จัดการหาเสียงมาก่อน ผมรู้เลยว่ามันต่างกัน สมมติคุณไปหาครูบาอาจารย์มีเงินหลายหมื่น เอาเงินไปให้เขา เขารู้สึกว่าดูถูกเขา แต่คนต่างจังหวัดถ้าไม่ให้เขาจะมาทวง บอกว่าเสียเวลาทำมาหากิน อย่างผู้ใหญ่บ้านยังมีการให้เงินกันหัวละพัน ทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ ก็เป็นชุดคุณค่าที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนมาก”
และ พ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมใช้ประโยชน์จากความแตกต่างนี้
สหายเก่าถือหางทักษิณล้ม “อำมาตย์”
8. กลุ่มสหายเก่าที่ต้องการล้างอำนาจอำมาตย์ จะเป็นอีกกลุ่มที่ไม่ยอมให้นางสาวยิ่งลักษณ์ลาออก รศ.ดร.ณรงค์เปิดเผยว่า กลุ่มนี้มีหลายคนในพรรคเพื่อไทย ที่มีความแค้นฝังใจตั้งแต่ 6 ตุลาคม 2519 ที่มีต่อคนกลุ่มหนึ่ง ซึ่งถามเท่าไรก็บอกแค่ว่าคือกลุ่มอำมาตย์ว่าอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง
“เขามองว่าอำมาตย์มีอิทธิพลอยู่สูง ดังนั้นต้องอยู่ข้างทักษิณ ล้มล้างให้ได้”
เมื่อทักษิณ+เครือญาติคือกลุ่มทุน กลุ่มสหายป่าเก่าคือกลุ่มกองกำลังมวลชน
ทั้งสองกลุ่มใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันอยู่ และมีการประเมินสถานการณ์ตลอดเวลา และไม่ยอมให้นางสาวยิ่งลักษณ์ออกจากอำนาจเด็ดขาดในเวลานี้
ความกดดันทั้งหมดจึงอยู่ที่ “นางสาวยิ่งลักษณ์” และที่หนักใจที่สุดก็เป็นเรื่องผลกระทบทางสังคมที่จะมีต่อ “ลูกชาย” ซึ่งนับวันยิ่งเป็นเรื่องน่าห่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นๆ ลอยตัว หรือแม้กระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ลูกชาย-ลูกสาวของเขาก็อยู่นอกวงการขัดแย้ง มีแต่นางสาวยิ่งลักษณ์และครอบครัวที่โดนกดดันเต็มๆ
ในฐานะเป็นแม่ เธอย่อมหนักใจ เหนื่อยใจ
แต่ในฐานะน้อง ในฐานะผู้สืบทอดอำนาจแทน พ.ต.ท.ทักษิณ และคนในตระกูลชินวัตร เธอย่อมต้องอยู่รักษาอำนาจ รอวันที่จะมีคนมาสานต่อเท่านั้น
พี่ชายจัดบรรยากาศหลอก “ปู”
อย่างไรก็ดี ในวันนี้แม้แต่นางสาวยิ่งลักษณ์ก็ยังโดน Propaganda เอง เพราะทั้งพี่ชายและพี่สาวยอมให้เธอออกจากตำแหน่งไม่ได้ การให้ ส.ส.ของพรรคภาคเหนือ และภาคอีสานพานางสาวยิ่งลักษณ์ไปในบรรยากาศที่สร้างขึ้นมา ก็เป็นเพียงมายาที่หลอกนางสาวยิ่งลักษณ์ว่าการเมืองไม่ได้มีปัญหาอะไร
เป็นการสร้างบรรยากาศที่ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์รู้สึกอบอุ่น มีกำลังใจที่จะสู้ต่อ เพราะทักษิณ รู้ดีว่าถ้ายิ่งลักษณ์ดึงนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนฮึดสู้หากถูกบีบมากๆ ออกมาใช้เมื่อไรก็จะตัดสินใจผลีผลามจากแรงกดดันในกรุงเทพมหานครแน่นอน
“ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ เมื่อวานไม่ได้อยู่ในรถไฟหวานเย็นไปหนองคาย แต่อยู่ใน BTS ภาพที่คุณยิ่งลักษณ์เห็นจะผิดไปจากภาพที่คนใกล้ชิดบอกมาก เพราะทุกอย่างก็จัดฉากคนที่มาต้อนรับนายกฯ ก็ดอกไม้สีเดียวกันหมด มาจากดอกไม้กำเดียวกันหมด”
นอกจากนี้เมื่อนางสาวยิ่งลักษณ์อยู่นอกสถานที่จึงถูกปิดกั้นข้อมูลการรับรู้จากสถานการณ์จริง ประกอบกับรายงานของ ศอ.รส.ที่เกี่ยวกับผู้มาชุมนุมขับไล่ก็ต่ำกว่าความเป็นจริง ก็ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับนางสาวยิ่งลักษณ์มาก
“วันนี้ยิ่งลักษณ์รับรู้ข้อมูลแค่บางส่วน ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในกรุงเทพมหานคร ทุกอย่างจึงถูกจัดฉากแม้แต่สภาพแวดล้อมก็ต้องจัดขึ้นมาเพื่อให้ยิ่งลักษณ์มีที่พักกายและใจที่พร้อมจะอดทนสู้ต่อไป”
ดังนั้นบางสถานการณ์ “พี่ชาย-พี่สาว” ก็ต้องทำทุกอย่าง แม้กระทั่ง “หลอกน้องสาวตัวเองไปวันวัน” ก็จำเป็นต้องทำเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องการ!