xs
xsm
sm
md
lg

เปิด “17 ตัวการ” หลักหนุนระบอบทักษิณเรืองอำนาจ!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เปิด 17 ตัวการหลักในการอุ้มแม้วกลับบ้าน-ขับเคลื่อนระบอบทักษิณให้เรืองอำนาจ กลุ่มแรกเป็นพี่น้องตระกูลชิน ตามด้วยนักยุทธศาสตร์สำคัญ “ภูมิธรรม” นำทีม 5 คีย์แมนหลักคุม-สั่งงาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ขณะที่ 2 ประมุขอย่าง “สมศักดิ์-นิคม” ก็เดินหน้ารับใช้กันสุดๆ ส่วนกลุ่มข้าราชการก็ต้องยกให้ “จุลสิงห์-ธาริต” ปลดล็อกคดีก่อการร้ายทำให้คนผิดกลายเป็นถูก อีกทั้ง “อดุลย์-คำรณวิทย์” ก็เป็นมือเป็นไม้จัดการม็อบต้านรัฐบาล-ระบอบทักษิณ ได้อย่างสมใจนึก ด้านโพลชี้ชัดคะแนนนิยม “ยิ่งลักษณ์” ตกวูบ!

ความวุ่นวายในประเทศไทย หากจะตั้งคำถามว่า เกิดขึ้นเมื่อไร ก็คงต้องบอกว่าช่วง 10 ปีให้หลังมานี้เป็นช่วงที่บ้านเมืองเราร้อนแรงที่สุด แตกแยกที่สุด

เกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย และ "ใคร” คือต้นกำเนิดของความวุ่นวาย ความเสียหายที่ยากประเมินมูลค่าได้?

โดยในสายตาของผู้ที่เกี่ยวข้องสะท้อนให้เห็นถึงผู้ที่เป็นต้นเหตุของความเสียหาย และทำให้ระบอบทักษิณเรืองอำนาจ ซึ่งแต่ละคนต่างมีภารกิจที่แตกต่างกันออกไป แต่เป้าหมายเดียวกันคือเพื่อทักษิณ!

นายกองค์การฯ ชี้ 2 พี่น้องชินวัตรทำชาติพัง

ในสายตาหนึ่งในแกนนำม็อบระดับชาติคนหนึ่งอย่าง “อุทัย ยอดมณี” นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะแกนนำกลุ่ม คปท. หรือกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย กล่าวว่า ในความคิดเห็นของเขาในฐานะนักศึกษา และผ่านการประชุมกับกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาอาชีวะ 14 สถาบัน อันดับแรกของคนที่ทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเสียหาย และต้องหยุดให้ได้ คือ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร”

นายอุทัยกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยกที่สุดตอนนี้คือ ระบอบทักษิณ ระบอบที่ใช้ระบบทุนครอบงำข้าราชการ นักการเมือง และนายทุนทั้งหมดเป็นเครือข่าย ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนสร้างขึ้น และทำให้ระบอบนี้คงอยู่อย่างยาวนานในประเทศไทย ที่สำคัญคือมีการทำลายระบบยุติธรรม ทำลายองค์กรอิสระ แทรกแซงหน่วยงานราชการ โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม รวมไปถึงการแทรกแซงสื่อที่มากที่สุดรัฐบาลหนึ่ง ซึ่งมองว่าเป็นการขัดขวางระบอบประชาธิปไตยมากกว่าเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริง และถ้าปล่อยไว้ยังทำให้ประเทศชาติเสียหายทั้งการบริหารเศรษฐกิจ และการบริหารบ้านเมืองที่หวังผลประโยชน์ในเชิงการเมืองเท่านั้น

ขณะที่คนต่อมาที่จะละเลยว่าไม่เป็นปัญหามิได้คือคนที่ได้ดีเพราะพี่ให้ “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นายอุทัยกล่าวว่า นางสาวยิ่งลักษณ์เป็นตัวแทนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชัดเจนที่สุด เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าได้คำแนะนำทุกอย่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ทำให้รัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์เป็นเพียงรัฐบาลที่มีหน้าที่ประสานงานต่างๆ แทน พ.ต.ท.ทักษิณ แบบ “ทักษิณคิด รัฐบาลทำ”

“ลงเลือกตั้งก็เห็นแล้ว มาหาเสียงแค่ 45 วันก็ลงเลือกตั้งจนได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านั้นคนยังไม่รู้จักเลยเป็นใคร ทำงานอะไรอยู่ บริหารที่ไหนอย่างไร คนไม่รู้จัก มารู้จักแค่ 45 วันก่อนเลือกตั้ง รู้แต่ว่าเป็นน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ พี่ชายบอกอะไรมาก็ต้องทำหมด เพราะมีวันนี้เพราะพี่ให้”
นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์
“สมศักดิ์-นิคม” ดัน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม

ส่วนความเห็นของพรรคประชาธิปัตย์กลับพุ่งเป้าไปที่ตัวการที่ทำให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” กลับสู่อำนาจอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง โดย นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระบวนการทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เพียงแต่กลับมาในประเทศไทย แต่ยังเป็นกระบวนการที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับเข้าสู่อำนาจการปกครองมีหลายส่วน และมี “คน” ที่เข้ามาเป็นกลจักรสำคัญตรงนี้หลายคน

เรียงลำดับกระบวนการได้จากการดำเนินการ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทยได้อย่างขาวสะอาดที่สุด และไม่ต้องติดคุก โดยใช้อำนาจของสภาฯ ในการผลักดันกฎหมายนี้ คนสำคัญที่เป็นกลจักรขับเคลื่อน ได้แก่ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา

โดยที่ผ่านมาบทบาทของนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ หรือ ขุนค้อน ก็เป็นอะไรที่ชัดเจนว่ามาทำหน้าที่นี้เพื่อ “รับใช้นาย” ตั้งแต่คลิปเสียงหลุดของนายสมศักดิ์ ที่ภายหลังยอมรับว่ามีการเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ก่อนมีการเลือกประธานสภาฯ จริง นอกจากนี้ในการทำหน้าที่ประธานรัฐสภา นายสมศักดิ์ยังมีทีท่าชัดเจนที่ไม่เป็นกลาง แต่กลับยืนข้างฝ่ายพรรคเพื่อไทย แถมยังมีการเรียกตำรวจสภาฯ มาจับตัวส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกจากห้องประชุมสภาฯ หลายครั้งในช่วงการประชุม พ.ร.บ.นิรโทษกรรมช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะที่นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ได้ตำแหน่งประธานวุฒิสภาแล้วก็ไม่ได้ทำให้ “นายใหญ่” ผิดหวัง เพราะดำเนินการเพื่อช่วยให้กระบวนการพา “ทักษิณกลับบ้าน” สะดวกมากขึ้นโดยเฉพาะการผลักดันกฎหมายสำคัญต่างๆ ที่ต้องอาศัยทั้งสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา โดยปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา กลุ่ม 40 ส.ว. นำโดย พญ.พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ สมาชิกวุฒิสภาสรรหา ได้มีการรวบรวมรายชื่อสมาชิก 52 รายชื่อ เพื่อถอดถอนนายนิคมออกจากประธานวุฒิสภาด้วย เนื่องจากกรณีที่ นายนิคม ลงชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 68 และ 237 และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 190 ทั้งที่ตำแหน่งประธานวุฒิสภา ตามหลักการทั่วไป ส.ว. จะริเริ่มเสนอกฎหมายไม่ได้ ยกเว้นการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องไม่สุ่มเสี่ยงต่อการขัดกันแห่งผลประโยชน์

“พ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นต้องได้คะแนนเสียงจากทั้ง 2 สภาฯ ส่วน ส.ส.ไม่มีปัญหา ตอนนี้เขามี 300 เสียง แต่การผลักดันกฎหมายให้ผ่านทั้ง 2 สภาฯ จำเป็นต้องมี 325 เสียงขึ้นไป เพราะฉะนั้นในส่วนของ ส.ว.จึงต้องมีการบริหารเรื่องคะแนนเสียงด้วย”

ทำให้เวลานี้ คะแนนเสียงในส่วนของ ส.ว.ที่จะสนับสนุนการผ่านร่างกฎหมายของพรรคเพื่อไทยนั้นมีประมาณ 60-70 คะแนนเสียงเลยทีเดียว

นายบุญยอดกล่าวว่า ที่ผ่านมาก็มีการต่อรองกับ ส.ว.หลายคน ที่ส่วนใหญ่เป็น ส.ว.เลือกตั้ง โดยเพิ่มเงื่อนไขให้ญาติของ ส.ว.ลงรับสมัครเลือกตั้งได้ จุดนี้ทำให้ ส.ว.เลือกตั้งโดยเฉพาะ ส.ว.ที่อยู่ในจังหวัดต่างๆ นั้น เทคะแนนเสียงของตัวเองโหวตผ่านกฎหมายช่วยพรรคเพื่อไทย

“ส.ว.เลือกตั้งในจังหวัดต่างๆ ก็ต้องการที่จะกลับมาสู่ตำแหน่งได้อีกจากการเลือกตั้ง ซึ่งการเลือกตั้งต้องเข้าใจนะว่าในต่างจังหวัด มี ส.ว.บางคนต้องการการอิงแอบกับพรรคการเมืองเพื่อช่วยในเรื่องการหาเสียงด้วย”

ส่วนคนที่มีบทบาทสำคัญในการรับใช้ “ทักษิณ” อีกคนหนึ่งนอกจาก ส.ส.ของพรรค พรรคร่วม และส.ว.บางส่วน คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตนกลิน เห็นได้ชัดจากการเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งมีนัยสำคัญทางการเมืองอย่างมากว่า แม้แต่คนที่เป็นคนสำคัญในการทำการรัฐประหารรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังหันมาสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ปลดล็อกให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน

ถือเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความสำคัญทาง “กลยุทธ์” ในการพา พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน และกลับมาเรืองอำนาจทางการเมืองอีก

นอกจากนี้ยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องทำให้เครือข่ายทักษิณ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเข้มแข็งขึ้น โดยมีบทบาทในการดูแล ส.ส.ก็คือ “เจ๊แดง” นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะที่การสั่งการกลยุทธ์ต่างๆ นั้น ผู้กำหนดว่า ส.ส.แต่ละคนจะมีบทบาทอะไร จะพูดเรื่องไหน จะค้านเรื่องไหน คือคีย์แมนของพรรคเพื่อไทย 5 คนหลักที่จะสั่งการ นำโดย “นายภูมิธรรม เวชยชัย” “นายวราเทพ รัตนากร” “นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา” “นายจาตุรนต์ ฉายแสง” “นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช” ลงไปในขั้นตอนของการปฏิบัติรายคน
นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์
นายธาริต เพ็งดิษฐ
“จุลสิงห์-ธาริต” รับลูกช่วยปลดล็อกก่อการร้าย

อย่างไรก็ดี นอกจากจะมีนักการเมืองแล้ว ยังมีข้าราชการอีกหลายคนที่ทำหน้าที่รับใช้ระบอบทักษิณจนเป็นเหตุให้กลุ่มม็อบไม่เอาระบอบทักษิณออกมาโจมตีและต่อต้านในขณะนี้ โดยเฉพาะในระบบยุติธรรมของไทยก็มีการจับตามองอย่างใกล้ชิด กรณีล่าสุดที่ “นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์” อดีตอัยการสูงสุด ที่มีการลงนามก่อนเกษียณอายุราชการไปในการสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีก่อการร้ายระหว่างการชุมนุมที่มีการเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ซึ่งได้การตอบรับทันทีจากคนที่ประกาศตัวว่ามีสีเดียวคือสีราชการ คือ “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่จะไม่ทำความคิดเห็นแย้งในเรื่องดังกล่าว ในฐานะที่เป็นคนส่งเรื่องนี้ไปให้อัยการสูงสุดพิจารณาตั้งแต่สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี

“ตอนนี้ระบบยุติธรรมได้รับการตั้งคำถามแล้วว่าที่มีข่าวว่าซื้อตัวได้จริงหรือเปล่า”

แหล่งข่าวความมั่นคงเปิดเผยว่า มีความพยายามอย่างหนักจากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ในการใช้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย เพื่อไปสร้างความสัมพันธ์พิเศษไว้กับบุคลากรด้านความยุติธรรมที่สำคัญๆหลายคน โดยเฉพาะที่อายุยังไม่มากนัก เรื่องนี้ยังเป็นข่าวที่คอนเฟิร์มไม่ได้ แต่มีความพยายามจริงที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเข้าไปให้ได้ในระดับศาล
พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว
ขณะที่ฝ่ายตำรวจ เป็นอีกฝ่ายที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้เดินเกมการเมือง และครอบงำได้เบ็ดเสร็จ

ส่วนนี้ให้ดูไปที่การจัดการม็อบต้านรัฐบาล ที่ได้รับคำสั่งมาว่าให้ใช้ความรุนแรงสยบม็อบได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ม็อบ เสธ.อ้าย และม็อบที่หน้าทำเนียบในช่วงที่ผ่านมา

คนสำคัญที่ พ.ต.ท.ทักษิณใช้งานเริ่มตั้งแต่ ผบ.ตร. “พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว” ที่เป็นคนที่พ.ต.ท.ทักษิณเขียนถึงในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่าได้คุยกับ ผบ.ตร.ให้ดูแลเรื่องส่วยตำรวจในเมืองท่องเที่ยวเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมาด้วย แต่ ผบ.ตร.อดุลย์ปฏิเสธ
พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง
ขณะที่ “พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” เพราะประกาศตัวชัดเจนว่าเป็นลูกน้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นผู้ได้รับการมอบหมายให้จัดกำลังพลเพื่อควบคุมสถานการณ์ม็อบต้านรัฐบาลต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการเตรียมการใช้ความรุนแรงในการจัดการม็อบต่อต้านรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะม็อบ เสธ.อ้ายที่มีการใช้แก๊สน้ำตากับผู้เข้าร่วมชุมนุมทั้งๆ ที่ไม่มีเหตุการณ์ปะทะหรือรุนแรงเกิดขึ้น

ส่วนด้านสื่อ ล่าสุดก็มีการทาบทามผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ข้ามห้วยมาเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ “นายอภินันท์ จันทรังษี” ว่ากันว่า นายอภินันท์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนายอารี ไกรนรา เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ ด้วย

ทั้งหมดนี้เป็นแค่กำลังพลของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงส่วนที่จะช่วยให้เขากลับเข้ามามีอำนาจในการปกครองประเทศเท่านั้น ยังไม่รวมพลพรรคของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกหลายคนที่ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายปูมบำเหน็จให้นั่งตำแหน่งสำคัญๆ ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว

อย่างไรก็ดี เรื่องที่น่าคิดคือ ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศที่ใครจะครอบงำได้ง่ายๆ หรือเปล่า จุดนี้เป็นจุดที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องอย่าลืม และตระหนักให้ดีว่า ประชาชนเขาไม่ได้โง่ และวันหนึ่งคนที่เคยรักก็จะกลายเป็นคนเกลียดได้ด้วยเช่นกัน

ถ้าจะสังเกต ขณะนี้ “นางสาวยิ่งลักษณ์” ในฐานะเป็นผู้นำรัฐบาลยังพบว่ากระแสความนิยมภาคประชาชนยังมีเส้นกราฟตกลงไปอย่างมีนัย

คะแนนนิยม “ปู” ตกฮวบลงเรื่อยๆ!

อาจารย์ปุณฑรีก์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ กล่าวว่า จากการที่สำนักเอแบคโพลล์ทำการสำรวจเรื่องของคะแนนนิยมในตัวผู้นำรัฐบาลและผู้นำฝ่ายค้านมาตลอด พบข้อมูลที่น่าสนใจ

โดยตัวนางสาวยิ่งลักษณ์นั้น มีคะแนนนิยมลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ในช่วงของการเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงแรกจะมีคะแนนนิยมจากภาคประชาชนสูงมาก และเมื่อเกิดวิกฤตน้ำท่วมคะแนนนิยมจะลดลงไปบ้าง แต่ยังถือว่าความนิยมในตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ยังอยู่ในระดับค่อนข้างดี แต่ปัจจุบันกลับพบว่าคะแนนนิยมในตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ตกลงอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงกลางปี 2556 มาจนถึงปัจจุบัน

โดยในการศึกษาของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์จะเน้นลงไปสำรวจ “การรับรู้” ของประชาชนที่มีต่อเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการรับรู้จากข่าวที่นำเสนอโดยสื่อมวลชน โดยจะลงไปสำรวจคนทุกกลุ่มตั้งแต่รากหญ้าจนชนชั้นสูงในสังคม ที่น่าสนใจคือเมื่อประเมินแล้วพบว่าประชาชนค่อนข้างเห็นว่ารัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์มีปัญหาเรื่องปากท้อง ค่าครองชีพที่ชัดเจนมากเป็นอันดับหนึ่ง

“ปัญหาปากท้อง ราคาสินค้า ค่าครองชีพ ราคาแก๊สหุงต้ม ราคาค่าเดินทาง ค่าขนส่ง ทุกอย่างมีราคาสูงขึ้นหมด ขณะที่รายรับเท่าเดิม เมื่อเอามาคำนวณแล้วรายจ่ายของประชาชนหลายคนเริ่มมากกว่ารายรับ ตอนนี้ประชาชนรู้สึกว่าเป็นปัญหามาก”

เมื่อประเมินรวมกับนโยบายประชานิยมอื่นๆ ที่มีการสำรวจก็พบว่าประชาชนมีความไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะเรื่องของรถคันแรก ที่เป็นการสร้างหนี้ให้กับประชาชน และยังซ้ำเติมปัญหาจราจรที่ติดขัดของคนกรุงเทพฯ มากขึ้น ขณะที่การทุจริตคอร์รัปชันในโครงการต่างๆ เริ่มเป็นเรื่องที่ประชาชนรับไม่ได้ โดยเฉพาะโครงการรับจำนำข้าว

“โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่ามีการคอร์รัปชันเกิดขึ้น เมื่อสื่อมีการนำเสนอไปในโทนเดียวกันกับการรับรู้ของประชาชนที่มีอยู่แล้ว คือมีการคอร์รัปชัน ประชาชนก็ยิ่งรู้สึกมีความชัดเจนว่าโครงการรับจำนำข้าวมีการคอร์รัปชันจริง”

ดังนั้นจึงเริ่มมีคะแนนนิยมต่อรัฐบาลลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมกับท่าทีของรัฐบาลที่ประชาชนมองว่ามีการใช้อำนาจและบทบาทรัฐบาลที่ไม่เหมาะสมในหลายเรื่อง เช่น ใช้อำนาจเกินขอบเขตมากเกินไปในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการต่างๆ รวมถึงการปรับ ครม. หรือการลงมติอนุมัติสิ่งต่างๆ ก็เป็นไปตามสิ่งที่รัฐบาลเดินหน้าแต่เพียงฝ่ายเดียว

การใช้อำนาจเกินขอบเขต รวมกับการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวที่เห็นได้ชัด ทำให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้ใจในการกู้เงินมาบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท และการกู้เงินมาดำเนินโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาทด้วย ซึ่งถูกมองว่าจะเกิดการทุจริตคอร์รัปชันอีกมาก

ทั้งนี้ ขณะนี้สิ่งที่ประชาชนให้ความสำคัญและตั้งข้อสังเกต ก็จะมีเรื่องของการแก้ปัญหาน้ำท่วม การเยียวยา และการแก้ไขค่าครองชีพของประชาชนต่อจากนี้ไป ว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร หากแก้ไขไม่ได้ย่อมหมายความว่า คะแนนนิยมของนางสาวยิ่งลักษณ์จะยิ่งตกต่ำลงไปอีก

สำหรับระบอบทักษิณแล้ว กลไกจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนจึงเป็นตัว พ.ต.ท.ทักษิณ เอง และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็น 2 ตัวหลัก

ที่กำลังสร้างปัญหาใหญ่ให้กับประเทศชาติคือ การทำลายระบอบประชาธิปไตย และการบริหารเศรษฐกิจของประเทศที่นำไปสู่หายนะจากนโยบายที่หวังผลทางการเมืองมากเกินไปจนสร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติอย่างมาก

“ประชาชนจะสนใจสิ่งที่กระทบเรื่องของตัวเองเป็นอันดับแรกๆ เลย ดังนั้นปัญหาค่าครองชีพ ปัญหาราคาสินค้าเกษตรจึงเป็นปัญหา 2 เรื่องใหญ่ที่สุดที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็ว”

ดังนั้น แม้ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีมือมีไม้ในการดำเนินงานทั้งเพื่อให้ตัวเองกลับประเทศได้ หรือทำให้ระบอบทักษิณเข้มแข็งยิ่งขึ้นก็ตาม แต่หากประชาชนต้องเผชิญความเดือนร้อน ข้าวยากหมากแพง บรรดารากหญ้าหรือคนชั้นกลางที่เคยภักดีต่อระบอบทักษิณ ก็อาจจะแปรเปลี่ยนเป็นขุมกำลังไปเพิ่มจำนวนให้กับม็อบอุรุพงษ์ได้โดยง่าย!

กำลังโหลดความคิดเห็น