แห่ถอนตัวหนีสัญญาณจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านเสี่ยงสูง ล้มเหลว ส่อเค้าล้มเหลวไม่เป็นท่าตั้งแต่ตั้งไข่สำหรับโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน เพราะล่าสุดกิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยประกาศถอนตัวจากการประมูลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากที่มีกำหนดว่าหลังจากการชี้แจงทีโออาร์โครงการเอกชนจะต้องยื่นแบบเพื่อประมูลรอบสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2556
เรียกได้ว่ามีการถอนตัวชิ่งหนีกันทั้งในส่วนที่เป็นบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลโครงการ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. จนกลายเป็นการส่งสัญญาณว่างานนี้ท่าจะไปไม่รอด แม้ว่าจะดันทุรังกันอย่างถูลู่ถูกังมาตั้งแต่ต้นภายใต้ความพยายามสร้างภาพว่าไม่มีปัญหา
เหตุผลที่กิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยจากหนังสือที่ส่งถึง กบอ.อย่างเป็นทางการระบุว่า กิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยได้แสดงความขอบคุณที่รัฐบาลไทยได้เชิญบริษัทให้เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว และได้มีการทำงานมาโดยตลอด ทางบริษัทรู้สึกดีใจ แต่หลังจากที่ได้หารือกันในเชิงการค้า บริษัทตัดสินใจที่จะไม่เสนอโครงการในที่สุด ซึ่งมองผิวเผินเป็นเหตุผลที่ฟังดูดี แต่หากวิเคราะห์กันอย่างแท้จริงเรื่องนี้มีอะไรในกอไผ่แน่ๆ
มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เบื้องหลังแท้จริงเป็นเพราะญี่ปุ่นไม่แฮปปี้ที่เข้าร่วมประมูลรอบแรกแล้วคว้างานมาได้น้อยกว่าเกาหลีทั้งที่เกาหลีไม่ได้มีประสบการณ์ในการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในประเทศไทยอย่างเช่นญี่ปุ่น การพูดคุยกับรัฐบาลเพื่อขอเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมญี่ปุ่นถึงพ่ายเกาหลีอย่างเหลือเชื่อก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ จนมาถึงข้อสรุปสุดท้ายว่าอย่างนี้ต้องถอน
หน่วยงานที่ติดตามเรื่องนี้โดยตลอดคือสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายประสงค์ ธาราไชย อุปนายกสมาคมฯ ถึงกับบอกว่าไม่แปลกใจเลยที่เอกชนจะถอนตัว เพราะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประมูลไม่เป็นธรรม และเสี่ยงที่จะล้มเหลวสูง โดยเฉพาะการให้เอกชนเป็นผู้เจรจาขอเวนคืนที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างเองทั้งที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถเข้าพื้นที่สำรวจเพื่อออกแบบและก่อสร้างได้ และเป็นห่วงว่า การดำเนินโครงการครั้งนี้ขัดหลักวิศวกรรมจนอาจทำให้โครงการล้มเหลว
บอกกันตรงๆ ชัดๆ อย่างไม่อ้อมค้อมเมื่อขัดกับหลักวิศวกรรม เสี่ยงสูงที่โครงการจะล้มเหลว นี่เป็นมุมของวิศวกร ขณะที่เสียงท้วงติงจากมุมมองด้านอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างกัน อย่างเหตุผลในการลาออกของคณะกรรมการ กบอ.นั้นยิ่งช่วยตอกย้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ กบอ.บางคนก็พยายามออกมาแก้ต่าง อย่างเช่น นายอภิชาติ อนุกูลอำไพ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่อ้อมแอ้มว่ากิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยได้ทำหนังสือมายัง กบอ.เพื่อขอถอนตัวจากการยื่นประมูลรอบสุดท้าย โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลที่ชัดเจน แต่คาดว่าอาจจะเป็นเงื่อนไขด้านราคาที่ตั้งไว้แบบจีเอ็มพี (Design-Build with Guaranteed Maximum Price (GMP)) หรือการตั้งเพดานราคาค่าก่อสร้างสูงสุด มีส่วนทำให้เอกชนไม่กล้าเสี่ยง เพราะบริษัทอาจกลัวว่าจะได้กำไรน้อย หรือขาดทุนหากชนะการประมูล แถมยังโอ่ว่า “การถอนตัวของญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า กบอ.ไม่ได้มั่ว ตั้งงบสูงๆ ให้ได้กำไรเยอะ ขนาดญี่ปุ่นยังกลัว ไม่กล้าสู้ ถ้ากำไรดีคงไม่ตัดสินใจถอนตัว”
ภายหลังกิจการร่วมค้าไทย-ญี่ปุ่นถอนตัว ทำให้เหลือเพียง 5 กลุ่มบริษัทที่ยังคงเดินหน้าร่วมประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้าน ได้แก่ 1. บริษัทโคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค.วอเตอร์) จากเกาหลีใต้ 2. กิจการร่วมค้าไอทีดี-พาวเวอร์ไชน่า ประกอบด้วย บมจ.อิตาเลียนไทย, พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น, ไชน่า เก๋อโจวบ๋า, ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล วอเตอร์ฯ และปัญญา คอนซัลแตนท์ 3. กิจการร่วมค้าซัมมิท เอสยูที ประกอบด้วย หจก.สามประสิทธิ์, เอส.เค.วาย.คอนสตรัคชั่น และยูเนี่ยน อินฟาร์เทค 4. กิจการร่วมค้าทีมไทยแลนด์ เป็นการรวมกลุ่มของบริษัทรับเหมาไทยล้วน ประกอบด้วย ช.การช่าง (ลาว), ทีมคอนซัลติ้ง, คริสเตียนีฯ, ช.ทวีก่อสร้าง, เสริมสงวนก่อสร้าง, ทิพากร และโรจน์สินก่อสร้าง และ 5. กลุ่มบริษัทค้าร่วมล็อกซเล่ย์
ส่วนกิจการค้าร่วมญี่ปุ่น-ไทย นำโดยบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ 4 บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท โอบายาชิ คอร์ปอเรชั่น, บริษัท ไทเซอิ คอร์ปอเรชั่น, บริษัท คาจิมา คอร์ปอเรชั่น, บริษัท ชิมิซึ คอร์ปอเรชั่น
เมื่อกิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยถอนตัว รายอื่นๆ ก็เริ่มออกอาการในทำนองเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ เค.วอเตอร์ จากเกาหลีที่ชนะรอบแรกทุกโมดูล นายมณฑล ภาณุโภคิน กรรมการผู้จัดการบริษัท เค.วอเตอร์ ประเทศไทย จากกลุ่มบริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น หรือ เค.วอเตอร์ แพลมออกมาแล้วว่าทีโออาร์ที่ออกมามีข้อจำกัดค่อนข้างมากในเรื่องของคุณสมบัติ สิ่งที่บริษัทต้องระวังคือเรื่องจีเอ็มพีที่รัฐกำหนด เพราะว่าได้รวมค่าเวนคืนไว้ในค่าก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน อย่างเส้นทางฟลัดเวย์ ซึ่งยังไม่มีการสำรวจจริงโดยละเอียด ขณะที่เงื่อนเวลาที่รัฐบาลให้ทำงานค่อนข้างสั้น
ตลอดระยะเวลา 45 วันที่บริษัท เค.วอเตอร์ ตระเตรียมทำเอกสารและลงพื้นที่บ้างในบางจุดภายใต้เวลาที่จำกัด ทำให้เห็นปัญหาในภาพรวมของทั้งโครงการเกิดขึ้นทุกโมดูล และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ค่าเวนคืน เนื่องจากเป็นการกำหนดแบบจีเอ็มพี หรือการันตีงบประมาณก่อสร้างสูงสุดโดยไม่มีการเพิ่มวงเงินในภายหลัง ขณะนี้บริษัทได้ตั้งทีมกฎหมายเข้ามาช่วยดูในเงื่อนไขต่างๆ ในแง่กฎหมายว่าจะมีทางออกตรงไหนบ้าง ตลอดจนสิ่งที่บริษัทต้องแบกรับหลังจากที่ได้ยื่นโครงการไปแล้ว เช่น ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ระหว่างทำงานเกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งในทีโออาร์ได้ระบุไว้ว่าบริษัทเอกชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เงื่อนไขที่ออกมาสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามีปัญหาในทุกจุดและมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขแบบจีเอ็มพีนั้น “อุเทน ชาติภิญโญ” อดีตประธานคณะกรรมการประธานผันน้ำลงทะเล ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) คีย์แมนคนสำคัญหนึ่งในทีมที่ปรึกษา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และเป็นอดีตกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยที่เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ออกมาตั้งคำถามตรงๆ ว่า ทีโออาร์ที่ระบุเรื่องการก่อสร้างแบบ Design-Build with Guaranteed Maximum Price (GMP) แปลว่าอะไร
“ถ้าให้ผมตีความก็คงแปลว่าสร้างไปออกแบบไปด้วยการประกันราคาอันสูงที่สุด ซึ่งอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะที่คุณปลอดประสพพูดหลายครั้งบอกว่าคิดไปทำไปเป็นการก่อสร้างรูปแบบใหม่ คือให้เงินไปแล้วค่อยศึกษา ถามว่าถ้ามันไม่คุ้ม คุณทำยังไง ยกเลิกไหม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐควรประเมินก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ทำไปประเมินไป ผมก็เลยไปถามยูเอ็นเพื่อให้ช่วยศึกษาตรงนี้” อดีตประธานคณะกรรมการประธานผันน้ำลงทะเล ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ให้ความเห็น
ซ้ำยังเปิดหน้าชกจะจะด้วยการยื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ตรวจสอบคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อบริหารจัดการน้ำ ที่อาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน และอาจไม่ชอบด้วยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 (UNCAC 2003) ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี และได้ให้สัตยาบันที่สหประชาชาติไว้แล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554
ความมั่วซั่วของ กบอ.ภายใต้การนำของนายปลอดประสพนั้น ทำให้ก่อนหน้านี้ไม่นาน นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ได้ยื่นหนังสือลาออกจากคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลว่า กบอ.ได้จัดทำข้อกำหนดและขอบเขตของงานทีโออาร์เรียบร้อยแล้ว และได้พิจารณาคัดเลือกคู่สัญญาออกแบบก่อสร้าง ถือว่าเป็นการลาออกหลังจากงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว แต่โดยส่วนตัวมีความกังวลเช่นเดียวกับบริษัทญี่ปุ่นที่ตัดสินใจถอนตัวจากโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ถ้าหากเป็นเช่นนี้บทสรุปจะออกมาเช่นใด จะออกมาแบบที่ “อุเทน ชาติภิญโญ” ว่าหรือไม่คือปล่อยให้แท้งไปก่อนแล้วค่อยมาเริ่มต้นใหม่ว่าสิ่งไหนจำเป็นต้องทำ และ พ.ร.ก.นี้จะหมดอายุเดือนมิถุนายนนี้แล้วก็ปล่อยให้หมดไป เพราะทีโออาร์ก็มีเพียงไม่กี่หน้า แต่ละโมดูลก็ลอกกันไปมา หากดันทุรังก็มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มเหลว หรือผลออกมาไม่ดีแน่ เพราะการไม่ศึกษารายละเอียดก่อนค่อยดำเนินโครงการไม่รัดกุม เหมือนกับมีเจตนาเอื้อให้เกิดการหาประโยชน์โดยมิชอบ
เรียกได้ว่ามีการถอนตัวชิ่งหนีกันทั้งในส่วนที่เป็นบริษัทเอกชนที่เข้าประมูลโครงการ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย หรือ กบอ. จนกลายเป็นการส่งสัญญาณว่างานนี้ท่าจะไปไม่รอด แม้ว่าจะดันทุรังกันอย่างถูลู่ถูกังมาตั้งแต่ต้นภายใต้ความพยายามสร้างภาพว่าไม่มีปัญหา
เหตุผลที่กิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยจากหนังสือที่ส่งถึง กบอ.อย่างเป็นทางการระบุว่า กิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยได้แสดงความขอบคุณที่รัฐบาลไทยได้เชิญบริษัทให้เข้าร่วมในโครงการดังกล่าว และได้มีการทำงานมาโดยตลอด ทางบริษัทรู้สึกดีใจ แต่หลังจากที่ได้หารือกันในเชิงการค้า บริษัทตัดสินใจที่จะไม่เสนอโครงการในที่สุด ซึ่งมองผิวเผินเป็นเหตุผลที่ฟังดูดี แต่หากวิเคราะห์กันอย่างแท้จริงเรื่องนี้มีอะไรในกอไผ่แน่ๆ
มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า เบื้องหลังแท้จริงเป็นเพราะญี่ปุ่นไม่แฮปปี้ที่เข้าร่วมประมูลรอบแรกแล้วคว้างานมาได้น้อยกว่าเกาหลีทั้งที่เกาหลีไม่ได้มีประสบการณ์ในการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ในประเทศไทยอย่างเช่นญี่ปุ่น การพูดคุยกับรัฐบาลเพื่อขอเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมญี่ปุ่นถึงพ่ายเกาหลีอย่างเหลือเชื่อก็ไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ จนมาถึงข้อสรุปสุดท้ายว่าอย่างนี้ต้องถอน
หน่วยงานที่ติดตามเรื่องนี้โดยตลอดคือสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นายประสงค์ ธาราไชย อุปนายกสมาคมฯ ถึงกับบอกว่าไม่แปลกใจเลยที่เอกชนจะถอนตัว เพราะหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการประมูลไม่เป็นธรรม และเสี่ยงที่จะล้มเหลวสูง โดยเฉพาะการให้เอกชนเป็นผู้เจรจาขอเวนคืนที่ดินที่จะใช้ก่อสร้างเองทั้งที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถเข้าพื้นที่สำรวจเพื่อออกแบบและก่อสร้างได้ และเป็นห่วงว่า การดำเนินโครงการครั้งนี้ขัดหลักวิศวกรรมจนอาจทำให้โครงการล้มเหลว
บอกกันตรงๆ ชัดๆ อย่างไม่อ้อมค้อมเมื่อขัดกับหลักวิศวกรรม เสี่ยงสูงที่โครงการจะล้มเหลว นี่เป็นมุมของวิศวกร ขณะที่เสียงท้วงติงจากมุมมองด้านอื่นๆ ก็ไม่แตกต่างกัน อย่างเหตุผลในการลาออกของคณะกรรมการ กบอ.นั้นยิ่งช่วยตอกย้ำ
แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ กบอ.บางคนก็พยายามออกมาแก้ต่าง อย่างเช่น นายอภิชาติ อนุกูลอำไพ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่อ้อมแอ้มว่ากิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยได้ทำหนังสือมายัง กบอ.เพื่อขอถอนตัวจากการยื่นประมูลรอบสุดท้าย โดยไม่ได้แจ้งเหตุผลที่ชัดเจน แต่คาดว่าอาจจะเป็นเงื่อนไขด้านราคาที่ตั้งไว้แบบจีเอ็มพี (Design-Build with Guaranteed Maximum Price (GMP)) หรือการตั้งเพดานราคาค่าก่อสร้างสูงสุด มีส่วนทำให้เอกชนไม่กล้าเสี่ยง เพราะบริษัทอาจกลัวว่าจะได้กำไรน้อย หรือขาดทุนหากชนะการประมูล แถมยังโอ่ว่า “การถอนตัวของญี่ปุ่นแสดงให้เห็นว่า กบอ.ไม่ได้มั่ว ตั้งงบสูงๆ ให้ได้กำไรเยอะ ขนาดญี่ปุ่นยังกลัว ไม่กล้าสู้ ถ้ากำไรดีคงไม่ตัดสินใจถอนตัว”
ภายหลังกิจการร่วมค้าไทย-ญี่ปุ่นถอนตัว ทำให้เหลือเพียง 5 กลุ่มบริษัทที่ยังคงเดินหน้าร่วมประมูลโครงการบริหารจัดการน้ำมูลค่า 3.5 แสนล้าน ได้แก่ 1. บริษัทโคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น (เค.วอเตอร์) จากเกาหลีใต้ 2. กิจการร่วมค้าไอทีดี-พาวเวอร์ไชน่า ประกอบด้วย บมจ.อิตาเลียนไทย, พาวเวอร์ คอนสตรัคชั่น, ไชน่า เก๋อโจวบ๋า, ไชน่า อินเตอร์เนชั่นแนล วอเตอร์ฯ และปัญญา คอนซัลแตนท์ 3. กิจการร่วมค้าซัมมิท เอสยูที ประกอบด้วย หจก.สามประสิทธิ์, เอส.เค.วาย.คอนสตรัคชั่น และยูเนี่ยน อินฟาร์เทค 4. กิจการร่วมค้าทีมไทยแลนด์ เป็นการรวมกลุ่มของบริษัทรับเหมาไทยล้วน ประกอบด้วย ช.การช่าง (ลาว), ทีมคอนซัลติ้ง, คริสเตียนีฯ, ช.ทวีก่อสร้าง, เสริมสงวนก่อสร้าง, ทิพากร และโรจน์สินก่อสร้าง และ 5. กลุ่มบริษัทค้าร่วมล็อกซเล่ย์
ส่วนกิจการค้าร่วมญี่ปุ่น-ไทย นำโดยบริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ 4 บริษัทจากประเทศญี่ปุ่น ได้แก่ บริษัท โอบายาชิ คอร์ปอเรชั่น, บริษัท ไทเซอิ คอร์ปอเรชั่น, บริษัท คาจิมา คอร์ปอเรชั่น, บริษัท ชิมิซึ คอร์ปอเรชั่น
เมื่อกิจการร่วมค้าญี่ปุ่น-ไทยถอนตัว รายอื่นๆ ก็เริ่มออกอาการในทำนองเดียวกัน ไม่เว้นแม้แต่ เค.วอเตอร์ จากเกาหลีที่ชนะรอบแรกทุกโมดูล นายมณฑล ภาณุโภคิน กรรมการผู้จัดการบริษัท เค.วอเตอร์ ประเทศไทย จากกลุ่มบริษัท โคเรีย วอเตอร์ รีซอสเซส คอร์ปอเรชั่น หรือ เค.วอเตอร์ แพลมออกมาแล้วว่าทีโออาร์ที่ออกมามีข้อจำกัดค่อนข้างมากในเรื่องของคุณสมบัติ สิ่งที่บริษัทต้องระวังคือเรื่องจีเอ็มพีที่รัฐกำหนด เพราะว่าได้รวมค่าเวนคืนไว้ในค่าก่อสร้างทั้งหมด ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจน อย่างเส้นทางฟลัดเวย์ ซึ่งยังไม่มีการสำรวจจริงโดยละเอียด ขณะที่เงื่อนเวลาที่รัฐบาลให้ทำงานค่อนข้างสั้น
ตลอดระยะเวลา 45 วันที่บริษัท เค.วอเตอร์ ตระเตรียมทำเอกสารและลงพื้นที่บ้างในบางจุดภายใต้เวลาที่จำกัด ทำให้เห็นปัญหาในภาพรวมของทั้งโครงการเกิดขึ้นทุกโมดูล และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ค่าเวนคืน เนื่องจากเป็นการกำหนดแบบจีเอ็มพี หรือการันตีงบประมาณก่อสร้างสูงสุดโดยไม่มีการเพิ่มวงเงินในภายหลัง ขณะนี้บริษัทได้ตั้งทีมกฎหมายเข้ามาช่วยดูในเงื่อนไขต่างๆ ในแง่กฎหมายว่าจะมีทางออกตรงไหนบ้าง ตลอดจนสิ่งที่บริษัทต้องแบกรับหลังจากที่ได้ยื่นโครงการไปแล้ว เช่น ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย ระหว่างทำงานเกิดน้ำท่วม แผ่นดินไหว ซึ่งในทีโออาร์ได้ระบุไว้ว่าบริษัทเอกชนจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
เงื่อนไขที่ออกมาสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามีปัญหาในทุกจุดและมีความเสี่ยงสูงมาก โดยเฉพาะการกำหนดเงื่อนไขแบบจีเอ็มพีนั้น “อุเทน ชาติภิญโญ” อดีตประธานคณะกรรมการประธานผันน้ำลงทะเล ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) คีย์แมนคนสำคัญหนึ่งในทีมที่ปรึกษา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี และเป็นอดีตกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยที่เพิ่งลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ออกมาตั้งคำถามตรงๆ ว่า ทีโออาร์ที่ระบุเรื่องการก่อสร้างแบบ Design-Build with Guaranteed Maximum Price (GMP) แปลว่าอะไร
“ถ้าให้ผมตีความก็คงแปลว่าสร้างไปออกแบบไปด้วยการประกันราคาอันสูงที่สุด ซึ่งอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะที่คุณปลอดประสพพูดหลายครั้งบอกว่าคิดไปทำไปเป็นการก่อสร้างรูปแบบใหม่ คือให้เงินไปแล้วค่อยศึกษา ถามว่าถ้ามันไม่คุ้ม คุณทำยังไง ยกเลิกไหม สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่รัฐควรประเมินก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ทำไปประเมินไป ผมก็เลยไปถามยูเอ็นเพื่อให้ช่วยศึกษาตรงนี้” อดีตประธานคณะกรรมการประธานผันน้ำลงทะเล ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ให้ความเห็น
ซ้ำยังเปิดหน้าชกจะจะด้วยการยื่นหนังสือต่อองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ให้ตรวจสอบคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ที่มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่ได้ออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาทเพื่อบริหารจัดการน้ำ ที่อาจเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน และอาจไม่ชอบด้วยอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต พ.ศ. 2546 (UNCAC 2003) ซึ่งประเทศไทยเป็นรัฐภาคี และได้ให้สัตยาบันที่สหประชาชาติไว้แล้วเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554
ความมั่วซั่วของ กบอ.ภายใต้การนำของนายปลอดประสพนั้น ทำให้ก่อนหน้านี้ไม่นาน นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ได้ยื่นหนังสือลาออกจากคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ต่อนายกรัฐมนตรี ด้วยเหตุผลว่า กบอ.ได้จัดทำข้อกำหนดและขอบเขตของงานทีโออาร์เรียบร้อยแล้ว และได้พิจารณาคัดเลือกคู่สัญญาออกแบบก่อสร้าง ถือว่าเป็นการลาออกหลังจากงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้ว แต่โดยส่วนตัวมีความกังวลเช่นเดียวกับบริษัทญี่ปุ่นที่ตัดสินใจถอนตัวจากโครงการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
ถ้าหากเป็นเช่นนี้บทสรุปจะออกมาเช่นใด จะออกมาแบบที่ “อุเทน ชาติภิญโญ” ว่าหรือไม่คือปล่อยให้แท้งไปก่อนแล้วค่อยมาเริ่มต้นใหม่ว่าสิ่งไหนจำเป็นต้องทำ และ พ.ร.ก.นี้จะหมดอายุเดือนมิถุนายนนี้แล้วก็ปล่อยให้หมดไป เพราะทีโออาร์ก็มีเพียงไม่กี่หน้า แต่ละโมดูลก็ลอกกันไปมา หากดันทุรังก็มีความเสี่ยงสูงที่จะล้มเหลว หรือผลออกมาไม่ดีแน่ เพราะการไม่ศึกษารายละเอียดก่อนค่อยดำเนินโครงการไม่รัดกุม เหมือนกับมีเจตนาเอื้อให้เกิดการหาประโยชน์โดยมิชอบ