xs
xsm
sm
md
lg

คณบดีนิติฯแจงสี่เบี้ย “ทักษิณ” กินรวบประเทศไทย! ยึดได้ทุกองค์กร-จับตา “ธ.ค.” อุ้ม “แม้ว” กลับบ้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คณบดีคณะนิติศาสตร์นิด้า ระบุ หลังเสธ.อ้ายพ่าย? สั่งยุติการชุมนุม จะเกิดการขับเคลื่อนของ “ระบอบทักษิณ” เพื่อกินรวบประเทศไทย ทั้งการครอบงำ 3 องค์กรหลักด้วยการรุกคืบ “อำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ” และครอบงำ “ทหาร” เชื่อยึดสภากลาโหมได้ทุกอย่างก็จบ พร้อมเดินหน้าคุมพลังงาน-ขายรัฐวิสาหกิจ หมุนเอาเงินอนาคตอุดปัญหาหนี้สาธารณะ ซ้ำยังเอื้อผลประโยชน์พวกพ้องสร้างเครือข่ายให้เข้มแข็ง จับตาธันวาคมนี้พรรคเพื่อไทยดัน พ.ร.บ.ปรองดอง-แก้รัฐธรรมนูญผ่านสภาฯ วิสามัญ มุ่งปลดล็อกอุ้มแม้วกลับบ้าน ด้านฝ่ายความมั่นคงจี้วงการกฎหมายต้องตื่นตัวสร้างบรรทัดฐานประชาธิปไตย อย่าปล่อยให้รัฐเผด็จการเข้ามาปกครองได้

“นับแต่นี้ต่อไป ให้ถือว่า เสธ.อ้าย ได้ตายไปแล้ว”

คำกล่าวบนเวทีครั้งสุดท้ายของ “เสธ.อ้าย” พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ แกนนำกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยาม ยังก้องสะท้อนในใจของผู้ไปร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 24 พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมๆ กับความคับข้องใจว่าประชาชนไม่มีสิทธิแม้แต่ที่จะแสดงออกถึงความคิดทางกระบวนการทางประชาธิปไตยของรัฐบาลที่ประกาศเรียกร้องความเป็นประชาธิปไตยตลอดเวลาอย่างพรรคเพื่อไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำตัวจริง ได้เลยหรือ สิ่งที่เห็นมีแต่ความเป็นเผด็จการ ใช้ความรุนแรงเพื่อขัดขวางกระบวนการแสดงออกทางประชาธิปไตยด้วยซ้ำ

และทันทีที่เสธ.อ้าย ประกาศยุติการชุมนุม จึงเกิดคำถามตามมาว่า “ระบอบทักษิณ” ต่อจากนี้ไปจะไม่มีใครหยุดยั้งได้จริงหรือไม่?โดยเฉพาะพลังของภาคประชาชนถึงยุคอ่อนแอจริงหรือไม่ และอะไรจะเกิดขึ้นกับสังคมไทยจากนี้ไป ซึ่งทีม Special Scoop มีคำตอบ!

ระบอบทักษิณเตรียมกินรวบประเทศไทย

“ม็อบเสธ.อ้ายครั้งนี้สะท้อนให้ประชาชนเห็นว่าอำนาจของรัฐบาลมีความเข้มแข็งมาก แต่เป็นการเข้มแข็งในลักษณะเผด็จการซึ่งน่ากลัว”

ศ.ดร.บรรเจิด สิงคเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าว และวิเคราะห์ว่า ม็อบของเสธ.อ้ายที่ต้องยุติการชุมนุมไป ทำให้เห็นภาพของการวางแผนมาดีของฝ่ายรัฐ แต่ฝ่ายรัฐไม่ได้ถือว่าชนะ เนื่องจากม็อบครั้งนี้มีประเด็นอ่อนไหวที่คนไทยรับไม่ได้ ดังนั้นในแง่ของสังคมไทย เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ยังไม่จบ

อีกทั้งสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ถ้ายังปล่อยให้ระบอบทักษิณเดินหน้าต่อไป และจะเกิดความเสียหายอย่างมาก

โดยคีย์เวิร์ดของ “ระบอบทักษิณ” คือ การเข้ามาสู่ภาคการเมืองของระบบทุนนิยมเบ็ดเสร็จผ่านระบบพรรคการเมือง โดยจะยังมีการใช้พรรคการเมืองและระบบการแจกเงินรากหญ้าในโครงการประชานิยมเพื่อชนะการเลือกตั้งและก้าวเข้าสู่การคุมอำนาจรัฐในระบอบประชาธิปไตย

“ระบอบนี้ไม่ได้นำเงินแค่ให้รากหญ้าหรือให้คนจน แต่จริงๆ แล้วมีการแฝงเพื่อนำเงินงบประมาณมาให้พรรคพวก สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มตัวเองในการคุมอำนาจทางการเมืองแบบเบ็ดเสร็จในทุกระดับด้วย”

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เมื่อระบอบทักษิณคุมอำนาจรัฐได้ สิ่งต่อมาที่ระบอบนี้จะทำ เมื่อดูจากความพยายามตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ 1 ทักษิณ 2 คือการคุมอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการอย่างเบ็ดเสร็จ

ดัน พ.ร.บ.ปรองดอง-แก้ รธน.เข้าสภา
 

ดังนั้น หากประเมินความต้องการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องทำให้สำเร็จ เพื่อการคุมอำนาจหลักของประเทศแบบเบ็ดเสร็จ คือการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเชื่อว่าจะมีการผลักดันในเดือนธันวาคมนี้ โดยใช้วิธีการเปิดประชุมสภาวิสามัญฯ

“พ.ร.บ.ปรองดอง จะเป็นการปลดล็อกตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ให้กลับมาประเทศไทยได้และดำเนินการอะไรที่ต้องการได้ ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีเป้าหมายที่จะให้สภาฯ สามารถแต่งตั้ง ส.ว. องค์กรอิสระและองค์กรศาลได้ ซึ่งเป็นการครอบงำอำนาจฝ่ายตุลาการเบ็ดเสร็จ”

ตรงนี้คือสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้เกิดขึ้นอย่างที่สุด!

ศ.ดร.บรรเจิดกล่าวต่อว่า ขณะนี้วงการกฎหมายมีการพูดคุยกันและทราบว่าฝ่ายการเมืองมีความพยายามอย่างมากที่จะครอบงำในส่วนนี้ ทั้งในภาพรวมและส่วนบุคคล กล่าวคือ ใครที่หมดวาระการดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ หรือศาล ก็มีความพยายามที่จะเจาะเป็นรายคน หรือส่งคนของตัวเองเข้าไปให้ได้ ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญถ้าทำสำเร็จก็จะถือว่าครอบงำได้ทั้งหมด
 
“ฝ่ายการเมืองพยายามเข้าไปวุ่นวายที่ศาลปกครองอย่างมาก ซึ่งมีข่าวว่าประธานศาลปกครองไม่แฮปปี้เลย ในส่วนของศาลยุติธรรม สิ่งที่ฝ่ายนี้ต้องการมากคือต้องการเข้าไปครอบศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ”

ส่วนภาคข้าราชการ ขณะนี้ก็มีการเข้ามาแทรกแซงหมดแล้ว รวมถึงในวงการตำรวจด้วย ซึ่งเห็นภาพได้ชัด ส่วนทหาร แม้ว่าภาพจะออกมาว่าเป็นคนละกลุ่ม แต่ก็มีการใช้อำนาจทางการเมืองเข้ามาต่อรองอย่างมากโดยเฉพาะประเด็นการดำเนินคดีกับทหารในช่วง พ.ค. 53 ซึ่งทำให้รัฐบาลกับทหารยังอยู่ในลักษณะความสัมพันธ์แบบประนีประนอม แต่ก็ใช่ว่าในแวดวงทหารจะไม่มีจุดอ่อนให้ฝ่ายการเมืองเจาะเข้าไป

“ถ้าครอบสภาฯ กลาโหมได้เมื่อไร เมื่อนั้นจะถึงจุดเปลี่ยนของทหาร โดยสภาฯ กลาโหม จะประกอบด้วยผู้นำเหล่าทัพ รวมกับรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงกลาโหมรวม 7 คน และรู้มาว่าฝ่ายการเมืองสามารถเข้าไปได้แล้วบางส่วน แต่ยังครอบงำไม่ได้ทั้งหมด ตรงนี้ถ้าครอบงำได้หมดก็เป็นจุดเปลี่ยนของทหารที่สำคัญมาก และโอกาสจะเป็นอย่างนั้นก็มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี ปัจจุบันฝ่ายการเมืองต้องการที่จะรุกคืบเข้ามาทุกด้าน จึงเดินหน้าทุกทางเพื่อเข้าครอบงำทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก”

ตรงนี้แหละที่ระบอบทักษิณจะเกิดแทนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่จะเหลือเพียงแต่ชื่อ แต่รูปแบบได้เปลี่ยนไปเพราะถูกฝ่ายการเมืองกลืนทั้งหมด และประเทศไทยจะกลายเป็นระบอบทุนนิยมเผด็จการตามความพยายามของกลุ่มการเมือง

ถึงเวลานั้นประเทศไทยจะเป็นแบบไหน?
ภาพการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมของกลุ่มตำรวจ ขอบคุณภาพจากเนชั่น
ขายรัฐวิสาหกิจ-ปั่นเงินหมุนอุดหนี้สาธารณะ

ศ.ดร.บรรเจิดกล่าวว่า ประเทศไทยจะมีการผันเงินเข้าพวกพ้องฝ่ายการเมืองกันอย่างหนัก และอีกส่วนหนึ่งภาษีของประชาชนจะถูกนำมาใช้เพื่อการหาเสียง โดยไม่สนใจเรื่องหนี้สาธารณะของประเทศ เพราะคนในระบอบนี้คือ พ.ต.ท.ทักษิณ และทายาททางการเมือง ซึ่งเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีความสามารถในการหมุนเอาเงินอนาคตมาใช้ได้ดี ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ จะมีการขายรัฐวิสาหกิจเกิดขึ้นกันอย่างมาก และจะมีการกู้เงินกันมากกว่าทุกวันนี้

“สิ่งที่มีแนวโน้มเห็นได้ชัดว่ากลุ่มการเมืองฝ่ายรัฐบาลต้องการมาก 2 ส่วนคือ ส่วนของการควบคุมทรัพยากรด้านพลังงานและผลประโยชน์ และอีกส่วนคือการพยายามหารายได้จากระบบเงินที่เรียกว่า Paper Trade หรือเงินที่ไม่ได้ก่อให้เกิดการลงทุนจริง และไม่ได้ทำให้เกิดผลิตผล”

โดยรัฐบาลจะทำประเทศไทยให้เหมือนประเทศสิงคโปร์ เน้นการลงทุนในอุตสาหกรรมการเงิน แต่ไม่ได้เกิดผลผลิตจริง

“ท้ายที่สุดระบบนี้จะเกิดขึ้นอยู่ 2 ส่วนคือ เงินที่ได้มาจากอุตสาหกรรมพลังงานและอุตสาหกรรมการเงินจะไปกระจุกตัวอยู่กับครอบครัวและเครือข่ายทางการเมืองของรัฐบาลเผด็จการทุนนิยมเท่านั้น ต่อไปทุนต่างชาติจะเข้ามาสูบทรัพยากรของไทยจนหมด การเข้าถึงทรัพยากรของไทยจะถูกกันจนไม่สามารถเข้าถึงได้เลย ฐานเกษตรกรรมของไทย หรือแม้กระทั่ง SMEs จะล่มสลายหมด ชุมชนก็จะไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรได้”

เขาเรียกว่าระบบกินรวบ!

“ดูอย่างพม่า จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ให้ความสนใจที่จะไปได้ประโยชน์จากทรัพยากรของพม่ากันอย่างมาก ประเด็นก็คือไม่ใช่ว่าใครจะเป็นคนครอบครองทรัพยากรธรรมชาตินั้นๆ แต่ใครกันที่เข้าถึงและได้ประโยชน์ ซึ่งบอกได้ว่าไม่ใช่ส่วนของประชาชนที่จะได้ประโยชน์จากส่วนนี้เลย”

ดังนั้นจึงมองว่า ระบอบทักษิณนี้เป็นระบอบที่น่ากลัว และเป็นอันตรายต่อประเทศชาติอย่างมาก และจุดที่จะทำให้ระบอบทักษิณเติบโตได้มากที่สุดคือ พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีความพยายามอย่างมากจากฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณในเวลานี้

“มั่นคง” เชื่อประชาชน-นักกฎหมายต้องออกโรง
เช่นเดียวกับแหล่งข่าวด้านความมั่นคง ที่เป็นห่วงว่าระบอบทักษิณกำลังจะกินรวบประเทศไทย โดยกล่าวว่า

ระบอบทักษิณนั้นชัดเจนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วว่ามีรูปแบบเป็นเผด็จการ มีความต้องการให้ฝ่ายการเมืองครอบงำได้ทั้งหมด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และตุลาการ

คำถามคือวันนี้ใครยังเป็นคนของประชาชน?

แหล่งข่าวด้านความมั่นคงวิเคราะห์ว่า หลักการคานอำนาจในระบอบประชาธิปไตยไทยนั้น จะมีฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ขณะนี้ระบอบทักษิณได้เข้าครอบงำฝ่ายบริหารจากการชนะเลือกตั้งและความที่มี ส.ส.จำนวนมาก รวมกับมีคะแนนสนับสนุนจากฝ่าย ส.ว.เกินครึ่ง จึงคุมเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯ ไว้ได้เบ็ดเสร็จในฝ่ายนิติบัญญัติแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ฝ่ายตุลาการที่ยังเชื่อว่าระบอบทักษิณยังไม่สามารถเข้าครอบงำในจุดสูงสุดได้ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง แต่ในศาลยุติธรรมยังมีปัญหาใหญ่ที่ฝ่ายการเมืองรุกคืบเข้ามามาก

“เพียงแต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ในระบบยุติธรรมโดยเฉพาะระบบศาลยุติธรรม จะต้องมีขั้นตอนของการสืบสวนโดยตำรวจหรือดีเอสไอ ก่อนส่งต่อมายังอัยการสูงสุด และเข้าระบบศาล ตอนนี้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ เขาควบคุมตำรวจ ดีเอสไอ และอัยการได้แล้ว ถ้าตำรวจทำหลักฐานอ่อน ถึงขั้นอัยการก็ส่งไม่ฟ้องก็ได้ ตรงนี้ศาลเองก็อาจใช้อำนาจไม่ได้เต็มที่”

ดังนั้น หากจะหยุดยั้งระบอบทักษิณ จึงเหลือเพียงแต่การขับเคลื่อนของภาคประชาชนที่จะมีพลังที่สุด แม้จะยังเกิดขึ้นไม่ได้

“ถ้ามองในแง่ของกลุ่มองค์กรพิทักษ์สยามเรียกว่าเสียเปรียบ ขณะเดียวกันฝ่ายได้เปรียบคือฝ่ายรัฐบาลที่กดดันม็อบได้อย่างเด็ดขาด เมื่อ เสธ.อ้ายประกาศยอมแพ้ ก็ต้องยอมรับว่าเป็นภาพไม่สวยนัก แต่จริงๆ แล้วผู้ชุมนุมแม้จะโกรธในช่วงแรก แต่พอสักพักจะเข้าใจว่าผู้นำมีหน้าที่ต้องรักษาชีวิตผู้ชุมนุมไว้ก่อน เพราะคาดแล้วว่ากลางคืนจะมีการสร้างสถานการณ์ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมไปขว้างระเบิด ซึ่งจะเกิดความชอบธรรมในการให้ตำรวจมาสลายม็อบได้ จึงจำเป็นต้องหยุดการชุมนุมเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียชีวิต” แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุ

นอกจากนี้เขายังบอกอีกว่า แม้ครั้งนี้รัฐบาลจะชนะการศึก แต่ยังไม่เรียกว่าชนะสงคราม เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะฝ่ายตำรวจซึ่งมีท่าทีแข็งกร้าวใส่ผู้ชุมนุม ประกอบกับการที่รัฐบาลใช้วิธีการปิดกั้นการแสดงออกด้านประชาธิปไตย จึงมองว่า การจัดการชุมนุมครั้งนี้ของ เสธ.อ้าย แม้จะจุดไฟไม่ติด แต่ก็ได้เพาะเชื้อไว้แล้ว โดยเฉพาะเรื่องหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

“การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น เดิมคนรู้แต่ยังไม่ค่อยกระจายไปมากนัก แต่ตอนนี้กระจายไปได้มาก ก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีต้องตอบ ขณะเดียวกันนายกฯ ก็อึดอัดใจเพราะไม่กล้าตอบ ตรงนี้จะเป็นประเด็นที่ไม่มีวันตายไปจากสังคมไทย”
ภาพการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมของกลุ่มตำรวจ ขอบคุณภาพจากไทยรัฐ
“รัฐตำรวจเผด็จการ”?

อีกโจทย์ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะต้องตอบให้ได้คือ รัฐบาลใช้อำนาจรัฐเกินกว่ากฎหมายหรือไม่ ถ้าใช่ก็ถือว่าในขณะนี้รัฐบาลกำลังปกครองในรูปแบบที่เรียกว่า “รัฐตำรวจเผด็จการ”

“คำถามคือเส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพการชุมนุมของประชาชนตามรัฐธรรมนูญมาตราที่ 63 ที่บังคับใช้กฎหมายอยู่ตรงไหน กับการที่รัฐพยายามอ้างว่ารัฐต้องใช้กฎหมายควบคุมฝูงชนตามกฎหมายความมั่นคงภายใน ซึ่งมีการใช้วิธีการทั้งสกัดกั้นผู้ชุมนุม ข่มขู่คุกคาม มีการใช้ตะปูเรือใบ ตั้งด่านตรวจปัสสาวะ เพื่อทำทุกอย่างไม่ให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมได้ เป็นการละเมิดสิทธิประชาชนหรือไม่”

อีกประการหนึ่ง รัฐบาลยังมีท่าทีที่ขัดต่อการละเมิดสิทธิสื่อมวลชน ในการจับตัวช่างภาพที่ถ่ายรูปสถานการณ์การชุมนุมไป ทั้งๆ ที่ก็เป็นเหตุการณ์ปกติ เป็นการทำอาชีพสื่อมวลชนตามปกติ แต่รัฐบาลกลับปิดกั้นการทำหน้าที่สื่อมวลชนหรือไม่

การต่อต้านระบอบทักษิณให้ได้ จึงอยู่ที่การขับเคลื่อนของวงการกฎหมายที่ต้องออกมาแสดงบทบาทว่าการใช้กฎหมายที่ขัดกันอยู่นี้ อะไรที่ผิดหลักประชาธิปไตยกันแน่

ทั้ง 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่วงการกฎหมายไทยไม่ควรจะอยู่เฉย แต่ต้องหาคำตอบในเรื่องนี้เพื่อให้ความรู้แก่สังคม ไม่เช่นนั้นก็เท่ากับยอมรับว่าการที่รัฐบาลใช้ความเป็นเผด็จการเข้ามาปกครองนั้นเป็นสิ่งที่นักกฎหมายยอมรับได้ และเป็นสิ่งถูกต้อง

“ถ้ายังปล่อยให้เป็นรัฐตำรวจเผด็จการต่อไป ก็จะมีการใช้อำนาจที่มากเกินกว่ากฎหมายกำหนดต่อไปอีก แล้วเสรีภาพภาคประชาชนจะอยู่ที่ไหน ตรงนี้เชื่อว่าภาคประชาชนจะไม่ยอม และกลายเป็นเชื้อที่ก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อต่อต้านรัฐบาลต่อไป”

ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ฝ่ายกฎหมายต้องออกมาแสดงให้เห็นพลังของกลุ่มนักกฎหมายด้วยว่าอันไหนเป็นการทำลายความเป็นประชาธิปไตย และต้องสร้างความกระจ่างให้สังคมเพื่อเป็นบรรทัดฐานแบบประชาธิปไตยที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
ภาพการใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมของกลุ่มตำรวจ ขอบคุณภาพจากไทยรัฐ
พธม.ฮึ่ม ค้าน พ.ร.บ.ปรองดอง-แก้ รธน.เตรียมเคลื่อน

ด้าน ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เผยท่าทีของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า หากมีการผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสภาฯ เมื่อไร กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พร้อมที่จะออกมาขับเคลื่อนมวลชนเพื่อคัดค้าน เพราะเป็นเงื่อนไขการชุมนุมที่พันธมิตรฯ ได้ประกาศไว้แล้วว่า ถ้ามีเรื่องพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการล้างความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะออกมาชุมนุมโดยทันที

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลคงต้องคิดหนักที่จะทำเรื่องนี้ เพราะเขารู้ว่าเป็นเงื่อนไขที่กลุ่มพันธมิตรฯ ต้องออกมาชุมนุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ว่าจะอย่างไร พันธมิตรฯ ต้องทำทุกทางเพื่อหยุดยั้ง พ.ร.บ.ปรองดองให้ได้ หากรัฐบาลคิดว่าต้องการให้เกิดความขัดแย้ง หรือคิดว่าจะสามารถหยุดความขัดแย้งได้ ก็ต้องเผชิญหน้ากับตรงนั้น แต่คาดว่า การผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติอาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะในฝ่ายคนเสื้อแดงเองที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็มีไม่น้อย เช่น ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เช่นเดียวกัน

นอกจากนั้นในเรื่องของ พ.ร.บ.ปรองดองที่ล้างความผิดให้กับทหาร ยิ่งนับวันที่ได้มีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพขึ้นมาว่ามีคนเสื้อแดงบางกลุ่มเสียชีวิตภายใต้การทำงานของฝ่ายทหารนั้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ยากขึ้นไปอีกที่จะมีการออก พ.ร.บ.ปรองดอง ดังนั้น ในมุมของคนเสื้อแดงเองจึงไม่น่าจะเห็นด้วยกับการตรากฎหมายลักษณะนี้ขึ้นมา และหากพันธมิตรฯ ออกมาชุมนุมก็คงยากที่จะมีมวลชนคนเสื้อแดงมาคัดค้านแนวทางของพันธมิตรฯ

กำลังโหลดความคิดเห็น