“อภิสิทธิ์” เห็นด้วยกับ “นช.แม้ว” ที่ระบุว่าการเมืองขณะนี้อยู่ในช่วงเลวร้าย แต่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่สร้าง 3 ปมเงื่อนไขสำคัญจนเกิดปัญหา ทั้งการมุ่งช่วย “ทักษิณ” ไม่ยอมรับการตรวจสอบ และนโยบายประชานิยม แฉ “นช.แม้ว” เดิมแผนใช้ประชานิยมช่วยคนชั้นกลาง หวังเจาะฐานเสียง ปิดจุดอ่อนรัฐบาลน้องสาว เชื่อการสร้างภาพให้วิตกม็อบชนม็อบ “เสธ.อ้าย” หวังเบนความสนใจรัฐบาลทำงานห่วย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าขณะนี้การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเลวร้ายว่าตนเห็นด้วยกับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่ไม่ได้คิดว่ามันเลวร้ายในมุมที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูด แต่ที่เลวร้ายคือประเทศไทยมีโอกาสที่การเมืองจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังการเลือกตั้งครั้งล่าสุด แต่รัฐบาลกำลังปล่อยโอกาสนั้นหลุดลอยไป แล้วก็กลับมาสร้างความเสี่ยงที่กำลังเกิดขึ้นกับระบบการเมือง คือแทนที่จะเดินหน้าทำนโยบายตามที่หาเสียง แต่ยังคงเป็นการเมืองในเรื่องของผลประโยชน์กับอำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณเอง โดยเฉพาะความพยายามล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เป็นการทำลายระบบที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย และการแก้ปัญหากการทุจริตคอร์รัปชัน และการใช้อำนาจในทางไม่ชอบ จึงทำให้การเมืองไม่ปกติ และเป็นเงื่อนไขที่องค์กรอย่างเช่นองค์กรพิทักษ์สยามหยิบยกขึ้นมาเพราะยอมรับไม่ได้ไม่ซึ่งถือเป็นปมเงื่อนสำคัญ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า 3 เงื่อนไขที่จะทำให้ปัญหาไม่จบ คือ 1. รัฐบาลไม่ประกาศว่าเลิกยุ่งเกี่ยวเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม 2. การไม่ยอมรับการตรวจสอบในระบอบประชาธิปไตย สังคม และ 3. กรณีนโยบายประชานิยม ซึ่งมีโอกาสในการที่จะทำให้การเมืองและเศรษฐกิจมีปัญหาเข้าขั้นวิกฤติเหมือนกับประสบการณ์ของหลายๆ ประเทศ ซึ่งยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้กลายพันธ์มาจากรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะนโยบายคล้ายคลึงกันมาก ซึ่งคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณถือว่าเป็นธงจริงๆ ที่อาจจะไม่ได้พูดแต่ว่าที่เคยหลุดออกมาก็คือ 1. ประชาธิปไตยเป็นเพียงเครื่องมือ กับ 2. ต้องการเห็นการเมืองแบบพรรคเดียว ซึ่งเป็นจุดที่ยังเป็นปัญหาทำให้เกิดความวุ่นวาย ทำให้เกิดความตึงเครียดในสังคมตลอดเวลา รวมถึงการพยายามเด็ดหัวผู้นำฝ่ายค้าน เล่นงานพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงเป็นส่วนหนึ่ง แต่ตนยังยึดถือว่าการต่อสู้ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณพูดเรื่องประชานิยมโดยครั้งนี้มีเป้าหมายที่ชนชั้นกลาง เรื่องการลดภาษีเงินได้นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า อาจจะเป็นความพยายามที่จะหาทางไม่ให้ชนชั้นกลางเริ่มมีความกังวลว่าหนี้ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเริ่มมีความกังวลว่าใครจะเป็นคนแบกรับภาระตรงนี้เพราะจากประวัติของที่อื่น สุดท้ายชนชั้นกลางจะเป็นผู้แบกรับภาษีที่เพิ่มขึ้น เพื่อมาอุดรูรั่วตรงนี้
ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณก็คงมองออกจึงพยายามพูดจาปลอบ หรือเอาใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไร เพราะประชานิยมพยายามรุกเข้ามาถึงชนชั้นกลาง อย่างเช่นนโยบายรถคันแรกเป็นต้น เพราะรู้ว่าจุดอ่อนของรัฐบาลคือยังไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากชนชั้นกลางเท่าที่ควร จึงคิดเอานโยบายเหล่านี้มากล่อมให้ยอมรับใช้ ขณะที่นโยบายลดภาษีเงินได้ของนิติบุคคล ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าจะกระทบต่อการหารายได้ของภาครัฐ ซึ่งเป็นนโยบายที่หวังผลทางการเมือง และคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือพลังงาน โทรคมนาคม ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ แต่ปัญหาที่ได้รับผลกระทบจาก 300 บาทน้อยมาก ส่วนที่อ้างว่าเพื่อต้องการดึงดูดให้เกิดการลงทุน ความจริงเราก็มีกฎหมายส่งเสริมการลงทุนอยู่อยู่แล้ว โดยไม่ต้องจ่ายภาษีไปถึง 8 ปี
ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูท่าที พ.ต.ท.ทักษิณและคนในรัฐบาลวิตกกับการชุมนุมครั้งนี้เป็นเพราะอะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ อาจจะเป็นแค่ความพยายามสร้างภาพขึ้นมาเพื่อกินพื้นที่ข่าวไป เบี่ยงเบนความสนใจออกจากปัญหาของการบริหารงานของรัฐบาล และการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมีขึ้น รัฐบาลมักจะใช้วิธีการปลุกระดมมวลชนรวมกันต่อสู้ด้วยการเปิดประเด็นการปฏิวัติ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์เมืองไทย ซึ่งต้องจับตาดูว่าในวันสองวันนี้ว่ารัฐบาลจะประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงหรือไม่ อย่างไรก็ตามทางออกของปัญหาทางการเมืองในขณะนี้คือ สังคมต้องรู้เท่าทันและทำตามหน้าที่ของตนเอง ทั้งสื่อ นักวิชาการและประชาชน
ส่วนการที่นายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมนอกสภา มีอะไรให้ไปพูดกันในสภานั้น นายอภิสิทธิ์ ในสังคมต้องเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบ การชี้แจง การแลกเปลี่ยนกัน อย่างกว้างขวาง ไม่ใช่เฉพาะในสภาที่รัฐบาลมองว่าได้เปรียบ โดยไม่คำนึงว่ามันสะสมความอึดอัดในสังคมอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งอันตราย
นายอภิสิทธิ์ยังกล้าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุหากมีการยุบสภาวันนี้พรรคประชาธิปัตย์จะเล็กลง ว่า “การยุบสภาเป็นสิทธิ์ของรัฐบาลที่จะทำได้ หากพรรคเพื่อไทยขจัด 3 เงื่อนไขที่ผมกล่าวมาข้างต้นได้ และยังชนะเลือกตั้งแล้วใหญ่ขึ้น พวกผมจะเล็กลง เราก็ยอมรับและทำหน้าที่ของเรา แต่ทางฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างหากที่มีความรู้สึกว่าต้องกำจัดฝ่ายอื่นในทางการเมืองอย่างเดียว ผมทราบว่าเลือกตั้งคราวหน้าก็คงจะมีการใช้กลไกรัฐ อย่างไม่ยั้งมือ”