“อภิสิทธิ์” ลำดับชนวนป่วน ปท. ยกเหตุผลหักล้างแดงแหลทุกกรณี ดักคอ “ดีเอสไอ” จะใช้ตรรกะเล็งเห็นผลเล่นงาน อย่าลืมใช้กับ “นช.ทักษิณ” ผู้ร้ายคดีฆ่าตัดตอนยาเสพติดด้วย เหน็บ “แม้ว” หากด้านจะกลับไทยไม่ต้องกลัวตาย เพราะนรกยังกลัวความอำมหิต วอนขอให้ทุกคดีดำเนินตามกระบวน กม. ลั่นหากทำผิดยินดีขึ้นศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงค่ำวันที่ 13 ต.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการปราศรัยเวทีประชาชน “เดินหน้า ผ่าความจริง ใครบงการ มัจจุราชชุดดำ รับจ้างฆ่าประเทศไทย” ที่อาคารลุมพินีสถาน กรุงเทพมหานคร ว่า ขอบพระคุณพี่น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ และกราบสวัสดีพี่น้องประชาชนที่อยู่ที่สวนลุมพินี และพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ รวมทั้งผู้ชมสถานีโทรทัศน์ทีวีดี ทีนิวส์ และบลูสกายที่เคารพทุกท่าน ก่อนอื่นคงต้องขออนุญาตกราบขอบพระคุณพี่น้องที่ยังปักหลักอยู่ที่นี่ทุกท่าน ผมทราบว่าหลายท่านเดินทางมาตั้งแต่ช่วงบ่าย จนถึงขณะนี้เป็นเวลา 6-7 ชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังอยู่ที่นี่ ปักหลักกันอยู่ครบถ้วนทุกท่านครับ ผมกราบขอบพระคุณที่ท่านทั้งหลายอยู่ที่นี่ เพราะท่านต้องการที่จะทราบความจริง และให้ความจริงเป็นตัวนำ เป็นตัวขับเคลื่อนประเทศชาติบ้านเมืองที่เป็นที่รักของพวกเราทุกคนบนความถูกต้องใช่มั้ยครับ
ผู้จัดรายการวันนี้เขานัดให้ผมมาถึงที่นี่ตอน 4 โมง มาเซ็นหนังสือ “ความจริงไม่มีสี” ที่พี่น้องจำนวนมากที่นี่ได้กรุณาซื้อไป เขาบอกผมว่าเขาจะเอามาที่นี่ 1 พันเล่ม ปรากฏว่าวันนี้เมื่อเช้าผมมีภารกิจที่พิษณุโลก เดินทางกลับมาทางรถยนต์เพราะมาเครื่องไม่ทัน จะออกจากบ้านเพราะว่าไปเปลี่ยนเสื้อเล็กน้อย ปรากฏว่าเขาแจ้งว่าหนังสือหมดแล้วตั้งแต่บ่าย 3 โมง ผมก็ขอบพระคุณทุกท่านครับที่จะได้ช่วยอ่านและเผยแพร่ความจริง แล้วก็ต้องขออภัยครับที่หลายท่านเจอหน้าผมก็ต่อว่า บอกว่าหนังสือหมดแล้ว ไม่ได้เอามาอีก ก็เรียนให้ทราบนะครับว่าวันที่ 20 ผมก็จะเดินทางไปที่ศูนย์ฯ สิริกิติ์ เพื่อที่จะร่วมในงานสัปดาห์หนังสือฯ ส่วนเวลาจะแจ้งให้ทราบภายหลังนะครับตอนนี้เพราะว่ายังไม่ได้กำหนด แต่ว่ายืนยันนะครับว่าต้องการที่จะเผยแพร่ความจริงตรงนี้
พี่น้องครับ การเดินหน้าเผยแพร่ความจริง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เราได้มีการจัดการเผยแพร่ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายชุดดำ ไม่ว่าจะเป็นจากการปราศรัยของเพื่อนๆ หลายคนก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดนิทรรศการ ซึ่งพี่น้องสามารถชมได้จากบริเวณข้างนอก หรือแม้กระทั่งที่มีการจัดกิจกรรมกันไปเมื่อวานนี้ เดินทางไปบางสถานที่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อที่จะยืนยันการมีอยู่จริงของชายชุดดำในช่วงปี พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะในช่วงตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม จนถึงเดือนพฤษภาคม
ผมกราบเรียนพี่น้องครับ การจัดเวทีผ่าความจริง การเผยแพร่ความจริงทั้งหมดที่พรรคประชาธิปัตย์และอีกหลายๆ ฝ่ายได้ทำกันมานั้นเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน เราไม่ได้มาทำเพื่อทำให้เกิดความวุ่นวายความขัดแย้ง ตรงกันข้าม เรายืนยันว่าบ้านนี้เมืองนี้จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างถูกต้องมั่นคง ก็ต่อเมื่อเราเรียนรู้จากทุกเหตุการณ์ในอดีต บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและความยุติธรรมเท่านั้นครับพี่น้องครับ
เราจัดเวทีกันมา 20 กว่า จะ 30 เวทีอยู่แล้ว ไม่มีเวทีไหนที่เราจัดเรียกร้องให้พี่น้อง จะที่ฟังอยู่ที่นี่ หรือจะชมอยู่ทางบ้านให้ใช้ความรุนแรงกับใครทั้งสิ้น เราจัดเวทีมาเกือบ 30 เวที ไม่มีเวทีไหนที่พวกเรามาบอกให้พี่น้องประชาชนไปล้มล้างรัฐบาล ไปก่อความวุ่นวาย ไปเผาบ้านเผาเมืองอย่างเด็ดขาด และวันนี้ที่ผมจะต้องพูดถึงความจริงที่สำคัญต่อไป ผมก็ยืนยันว่าเป็นความจริงเพื่อนำไปสู่ความสงบสุข เพื่อนำไปสู่ความปรองดอง สมัครสมานสามัคคี แต่เราต้องรู้ว่าสาเหตุความรุนแรงต่างๆ เกิดขึ้นจากใคร อย่างไร
พี่น้องครับ ในอดีตความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นในประเทศไทยในหลายเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 6 ตุลาคม 2519 ช่วงนั้นเป็นช่วงความรุนแรงความสูญเสียที่เกิดขึ้นในภาวะที่ประชาธิปไตยของประเทศไทยล้มลุกคลุกคลาน และก็ต้องมีการต่อสู้กันในเชิงอำนาจจนเกิดความสูญเสีย เรามาเผชิญความรุนแรงอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2535 ผมจำได้แม่น เพราะผมเพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสมัยแรกในปีนั้น เหตุการณ์พฤษภา 2535 ก็เป็นเหตุการณ์ที่พี่น้องประชาชนชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เหมือนในปี 16 เหมือนในปี 19 แต่สุดท้ายผู้มีอำนาจตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุมจนเกิดความสูญเสีย และเหตุการณ์ทั้ง 3 เหตุการณ์ พี่น้องที่เคารพครับ เป็นเหตุการณ์ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วผู้มีอำนาจออกกฎหมายนิรโทษกรรมหรือให้มีการสอบข้อเท็จจริง แต่ข้อเท็จจริงต่างๆ ไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างละเอียดต่อพี่น้องประชาชน
อ.คณิต ณ นคร นี่แหละครับ ได้ร่วมไปทำงานสอบเหตุการณ์เดือนพฤษภาฯ ปี 35 ด้วย ก็เพิ่งแถลงข่าวไปในวันที่แถลงผลของการดำเนินการของ คอป.ว่า งานที่ท่านเคยทำชิ้นนั้น 20 ปีที่แล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสปรากฏสู่สายตาของสาธารณชน ซึ่งทำให้เราไม่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ในอดีต ฉะนั้นวันนี้เราต้องมาเรียนรู้ร่วมกันครับว่า ความสูญเสีย ความรุนแรงที่ยังดำรงอยู่ในประเทศไทย ในการเมืองไทยนั้นมันเป็นเพราะอะไร และที่พวกผมต้องมายืนอยู่บนนี้และพูดในเรื่องซึ่งหลายคนบอกว่า มันเป็นอดีตมาแล้วมาพูดทำไม ผมก็บอกว่า 1. เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามันมีขบวนการบิดเบือนข้อเท็จจริง โกหกอย่างเป็นระบบ แล้วขบวนการโกหกนี้เป็นขบวนการที่ต้องการเพิ่มพูนความเกลียดชัง ความขัดแย้งในสังคม รวมไปถึงยังมีความพยายามที่จะเอาคำโกหกเหล่านี้มาบังหน้า ว่าความรุนแรงต่างๆ เกิดขึ้นเพราะผม เพราะคุณสุเทพ ใช้ความรุนแรงเข่นฆ่าประชาชนเมื่อ 2 ปีก่อน
พี่น้องที่เคารพครับ ผมจำเป็นต้องพูดเรื่องเหล่านี้เพราะว่า วันนี้อย่างน้อยต้องขอบคุณทั้งเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ และก็รวมทั้งอาสาสมัครทั้งหลายที่มาช่วยดูแลความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อย ณ เวทีแห่งนี้ พี่น้องช่วยปรบมือให้กับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครหน่อยครับ
ผมสอบถามอยู่เหมือนกันว่าวันนี้มีกลุ่มเสื้อแดงมาประท้วงไหม ได้รับรายงานว่าเมื่อช่วงบ่าย ช่วงเย็น มาประมาณ 10 คน และได้เดินทางกลับไปแล้ว ที่พูดนี่เพื่อจะบอกว่า เขายังมีความคิดว่าจะต้องมีการมาต่อต้านมาเผชิญหน้ากันอยู่ไม่ว่าจะมีจำนวนคนมาก หรือจำนวนน้อย และเขาพยายามจะสร้างเรื่องไงครับ โดยอ้างว่าที่ต้องมาต่อต้านนั้นเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการกระทำของรัฐบาลของผมเมื่อปี 2553 ผมจึงต้องมาเตือนความจำ และย้ำความจริง ว่าความรุนแรงในบ้านเมืองเราในยุคหลัง หลังจากที่เราผ่านพ้นเหตุการณ์ตุลา 16 ตุลา 19 พฤษภา 35 เรามีรัฐธรรมนูญที่เขายกย่องกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเมื่อปี 40 แต่การเมืองหลังปี 40 ที่ใช้กติกาที่หลายคนบอกดีที่สุด สมัยรัฐบาลท่านนายกฯ ชวน หลีกภัย ใช้กติกานี้ไม่ได้มีปัญหาเลยครับพี่น้องครับ
แต่พอปี 44 เป็นต้นมา เปลี่ยนรัฐบาล การใช้รัฐธรรมนูญเกิดปัญหาตั้งแต่คดีซุกหุ้นที่ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นครั้งแรกครับที่เราเห็นปรากฏการณ์ว่ามีการระดมม็อบไปชุมนุมกดดันศาลรัฐธรรมนูญเพื่อที่จะให้ตัดสินคดีว่าคุณทักษิณต้องพ้นผิด พี่น้องดูตรงนี้นะครับ เพราะนั่นคือการเริ่มต้นการสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ขึ้นมา เอาผู้สนับสนุน ทั้งๆ ที่ตัวเองมีอำนาจเป็นรัฐบาลอยู่ มาใช้ในการกดดันอำนาจอื่นที่ต้องมีไว้เพื่อตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล และฝ่ายบริหาร เอามากดดันศาลรัฐธรรมนูญ และเมื่อพยายามกดดันองค์กรตรวจสอบ องค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญ มีการแทรกแซงสื่อ จนกระทั่งเรียกว่าในช่วง 4-5 ปีที่ครองอำนาจอยู่ในขณะนั้นใครคิดต่างไม่สามารถแสดงออกผ่านสื่อสารมวลชนที่เป็นของรัฐ ที่พี่น้องประชาชนดูได้เลย จำได้มั้ยครับ ตั้งแต่ อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง จนถึงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ถูกกวาดออกจากรายการเพราะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในขณะนั้น
ขณะเดียวกัน มีนโยบายหลายนโยบายที่สนับสนุนให้เกิดการใช้ความรุนแรงของภาครัฐ นโยบายฆ่าตัดตอนยาเสพติด พี่น้องคงจำได้ จนกระทั่งมีการหยิบยกขึ้นมาว่า ชีวิตคนไทยสูญไป 2,500 ชีวิต ในจำนวนนั้น จำนวนมากพิสูจน์ต่อมาว่าไม่ได้ไปเกี่ยวข้องเกี่ยวพันอะไรเลยกับยาเสพติด แต่ต้องสูญเสียไปเพราะนโยบายที่เรียกว่าฆ่าตัดตอน แล้ววันนั้นใครครับค้านนโยบายนี้ รัฐบาลขณะนั้นของคุณทักษิณก็พยายามยัดเยียดว่า ใครคัดค้านแปลว่ามีผลประโยชน์กับพวกค้ายาเสพติด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และผมก็ยืนยันละครับว่า พอมาถึงวันนี้เมื่อมีคดีความที่ศาลตัดสินแล้วว่าในบางกรณีนั้นเจ้าหน้าที่ทำผิด จบลงเพียงเท่านี้ไม่ได้ มีรายงานของคณะกรรมการอิสระที่ตั้งขึ้นมาสรุปแล้วครับว่า นโยบายฆ่าตัดตอนขณะนั้นเป็นนโยบายที่อาจจะเข้าข่ายอาชญากรรมต่อมนุษยชน มนุษยชาติ คนสั่งการต้องถูกเอามาลงโทษ มารับผิด
ไม่ช้าไม่นานนี้แหละครับ ถึงเวลาบ้างที่จะมีคนเอาเรื่องนี้ไปร้องเรียนศาลโลกอย่างเป็นทางการ แล้วก็จะให้กระบวนการยุติธรรมภายในประเทศเดินหน้าต่อไป และก็ขอฝากไว้ด้วยครับว่าในคดีที่ได้มีการตัดสินไปแล้วนั้น คนที่ทำคดีนี้จนเราได้ความจริงออกมา อยู่ในหน่วยงานที่ชื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพราะฉะนั้นอธิบดี รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ผมไม่เอ่ยชื่อ เพราะว่าเอ่ยชื่อทีไร พี่น้องตบมือดังกว่าเวลาเชียร์ผมอีก 2 คนนี้อย่าลืมใช้ตรรกะ อย่าลืมใช้เหตุผล อย่าลืมใช้วิธีเดียวกันที่พยายามมายัดเยียดข้อหาให้กับผม และคุณสุเทพ ขอให้ใช้ตรรกะแบบเดียวกันลงโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เป็นตัวอย่างเสียก่อน ไอ้เล็งเห็นผล รู้อยู่แล้วว่าทำอย่างนี้ สั่งอย่างนี้จะต้องเกิดการสูญเสีย เป็นความผิดข้อหาฆาตกรรม มีเจตนานี่ ขอให้ใช้ตรรกะอย่างนี้กับคดีที่เขาตัดสินแล้วรู้ตัวแล้วว่าเจ้าหน้าที่คนไหนเป็นคนทำ และมีประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต ไม่ต้องไปรอฟังด็อกเตอร์กฎหมาย เพราะด็อกเตอร์กฎหมายนั้น ผมเห็นทางจอทีวีทีไร ไม่เมารัก ก็เมาเหล้าอยู่ฮ่องกง
เดินหน้าไปเลยครับกับกรณีฆ่าตัดตอน วัฒนธรรมความรุนแรงที่ปรากฏชัดเจนอีกคือที่ไหนครับ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ท่านอดีตนายกฯ ชวนปราศรัยบนเวทีผ่าความจริงหลายครั้ง ชี้ให้เห็นว่าต้นตอเกิดจากนโยบายอุ้มฆ่า และนำมาสู่การสูญเสียชีวิตของคนไทยกว่า 5,000 ชีวิตแล้ว และเหตุการณ์ที่ชัดเจน กรือเซะ เจ้าหน้าที่รัฐเอาอาวุธเข้าไปยิงต่อสู้กัน แล้วก็ผู้ที่ดำเนินการตามนั้นบอกว่า แนวทางนี้เป็นนโยบายและนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นด้วยกับการใช้นโยบาย กรณีอย่างนี้สิครับ ถึงถือว่าเป็นการสั่งฆ่าประชาชน แล้วนายกรัฐมนตรีคนไหนล่ะครับที่มีการชุมนุมกันที่ตากใบ นราธิวาส บินลงไป สั่งการเสร็จ ปรากฏว่ามีการจับคนที่เป็นผู้ชุมนุมขึ้นไปซ้อนอยู่ในรถบรรทุก แล้วในที่สุดเสียชีวิตไปเป็นจำนวนเกือบร้อยชีวิต ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ กรณีอย่างนั้นสิครับ ไม่เล็งเห็นผลเหรอครับ ไม่สั่งฆ่าประชาชนเหรอครับ
ผมถึงบอกว่า เรามาไล่เรียงดูกันดีกว่าว่าวัฒนธรรมความรุนแรง การใช้อำนาจรัฐ การใช้เจ้าหน้าที่แล้วมีการไปละเมิดสิทธิประชาชน รูปแบบแบบนี้ใครเป็นคนทำ พี่น้องครับส่วนการเอาความรุนแรงมาใช้ทางการเมือง ผมก็ขอเตือนความทรงจำของพี่น้องคนไทยทั้งประเทศเช่นเดียวกัน ที่บอกว่าเสื้อแดงมาตามล่าผม มาตามล่าคุณสุเทพ เพราะเหตุการณ์ปี 53 ผมบอกพี่น้องครับว่า ปี พ.ศ. 2549 ผมไปปราศรัยที่ จ.เชียงใหม่ ใครล่ะครับเกณฑ์ชาวบ้านมา แล้วก็พอช่วงค่ำ กรูเข้ามาพังเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้น พวกผมทำงานการเมืองกันมา ผมทำมาตั้งแต่ปี 2535 ท่านนายกฯ ชวนทำมาตั้งแต่ปี 2512 ท่านหรือผมไม่เคยเจอเหตุการณ์อย่างนั้น บุกเข้ามาอยู่ข้างหน้านี่ครับ ปาข้าวของ ผมก็ยังปราศรัยไม่จบ ก็ต้องปราศรัยให้จบก่อน ท่านนายกฯ ชวนยืนข้างๆ ผม ยังสเกตช์รูปคนฟังไม่จบ ผมก็รอท่านสเกตช์ ท่านก็รอผมปราศรัย ของที่ลอยขึ้นมาก็เยอะขึ้นๆ สุดท้ายพอท่านปิดสมุด ผมก็จบการปราศรัย แล้วเสร็จแล้วพี่น้องถ้าจำได้ปีนั้น ลงจากเวทีแล้วก็มีคนตามมาไล่ขว้างปาของ เก้าอี้ปาเข้ามาจะโดนผม ปรากฏว่าขณะนั้นคุณชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ อยู่ข้างๆ ผม สูงกว่า รับไป นั่นคือเหตุผลว่าผมชอบไปไหนกับกรณ์ (จาติกวนิช) กรณ์ด้านซ้าย องอาจ (คล้ามไพบูลย์) ด้านขวา ส่วนสาทิตย์ (วงศ์หนองเตย) มาไม่มามีค่าเท่ากัน
เสร็จแล้วพี่น้องต้องดูต่อ จะเห็นว่าการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ขณะนั้นก็คือโดยกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ไม่เคยมีช่วงไหนที่พันธมิตรประท้วง แล้วมีการไปก่อวินาศกรรม หรือก่อการร้ายในลักษณะของการเอาอาวุธสงครามมาใช้ แล้วในทางตรงกันข้าม นายกรัฐมนตรีในซีกของพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มีท่าทีอย่างไรต่อผู้ชุมนุมครับพี่น้อง เยาะเย้ย ถากถาง ด่าว่า ไม่เคยเคารพสิทธิของประชาชนเลย จำคำพูดได้มั้ยครับ นายกฯ คนไหนล่ะครับที่ด่าผู้ชุมนุมบอกว่า พวกนี้ทั้งหมดเสียภาษีไม่เท่าผม คือยังมีหน้าอวดอีก เลี่ยงไปตั้งเยอะแล้วนะภาษีน่ะ
แล้วต่อมาในปี 2551 ช่วงพันธมิตรฯ ชุมนุมนี่แหละครับ จำได้มั้ยครับว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งมีการจัดกลุ่มเสื้อแดง แล้วในที่สุดมาตีกับคนเสื้อเหลือง มีคนล้มตาย มีคนบาดเจ็บ ทั้งในกรุงเทพฯ ตรงถนนราชดำเนิน และในต่างจังหวัดอย่างเช่นที่อุดรธานี จำคำนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นได้มั้ยครับ นักข่าวไปถามว่ามีคนสูญเสียชีวิตแล้วท่านว่ายังไง คำถามแรกท่านถามว่า ฝ่ายไหนตาย นักข่าวต้องสวนบอกว่าจะฝ่ายไหนตายก็เป็นคนไทยทั้งนั้น แล้วสุดท้ายเมื่อการชุมนุมยืดเยื้อ จำได้มั้ยครับ เอ็ม 79 ถูกยิงเข้าไปใส่ผู้ชุมนุม และในวันที่ 7 ตุลาคมก็มีการสลายการชุมนุม จนกระทั่งล่าสุดศาลปกครองก็ได้ชี้ชัดเจนถึงความผิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการเข้าสลายการชุมนุม เช่นเดียวกับที่ ป.ป.ช.เคยชี้มูลผู้ที่เกี่ยวข้อง นี่คือประวัติศาสตร์ของการใช้ความรุนแรงกับประชาชนครับพี่น้องครับ
ถามว่าเมื่อผมเข้ามาเป็นรัฐบาล คุณสุเทพมาเป็นรองนายกรัฐมนตรี ผมเป็นนายกรัฐมนตรี เกิดอะไรขึ้น เลือกนายกฯ ออกมาจากสภานี่ครับ แค่ลงมติเลือกนายกฯ เท่านั้น ออกมาจากสภา รถของ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ถูกขว้าง ถูกพยายามที่จะเผา ถามว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้ความรุนแรงตอบโต้ผู้ชุมนุมมั้ย ไม่ครับ ให้ดำเนินคดี ดำเนินการตามกฎหมาย จนต่อมาศาลก็พิพากษาจำคุกคนที่ทำให้รถคุณองอาจต้องเสียหายไป แล้วเขาก็ปลุกระดมตลอด จำได้มั้ยครับ ผมจะไปที่ไหนก็จะมีการปลุกระดมให้คนนั้นไปล้อม ให้คนไปขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ผมก็ใช้หลักอะไรครับ ผมใช้หลักว่า 1. งานผมต้องไม่เสีย หมายความว่าผมก็ต้องพยายามไปปฏิบัติภารกิจของผม แต่ 2. ผมจะพยายามหลีกเลี่ยงจนถึงที่สุด ไม่ให้มีการปะทะ มีการบาดเจ็บ มีการสูญเสีย ผมถูกด่าเยอะครับว่า ทำไมไม่เด็ดขาด ทำไมไม่จัดการ แต่ผมตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าเราเข้ามาเป็นรัฐบาลขณะนั้น บ้านเมืองวิกฤตทั้งเศรษฐกิจ ทั้งการเมือง เราต้องสร้างบรรทัดฐานใหม่ พยายามทำให้เราประคับประคองบ้านเมืองให้ไปได้ ผมไม่ได้ต้องการเห็นเกิดการปฏิวัติ รัฐประหารอีก แต่ประคับประคองบ้านเมืองให้ผ่านวิกฤต จะได้คืนอำนาจให้กับประชาชน เลือกตั้งกันไปแพ้ชนะไม่สำคัญเท่ากับบ้านเมืองเดินต่อได้ ประชาธิปไตยเดินต่อได้
เสร็จแล้วยังไงครับ ที่พัทยา ผมเป็นนายกฯ คนแรกที่ติดไฟแดงแล้วถูกทุบรถ แล้วในที่สุดเขาก็ไปล้มการประชุมอาเซียน วันนี้ยังมีการสร้างนิยายอยู่ครับ ผมเพิ่งขึ้นศาลไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา เป็นโจทก์ครับ ผมฟ้องนายอริสมันต์ นายอริสมันต์พยายามต่อสู้ว่าพวกเขาไม่เคยคิดจะล้มการประชุมอาเซียน เขาอ้างว่าเขาต้องการแค่ไปยื่นหนังสือถึงผม ทนายความถามว่า โจทก์ไม่รู้เหรอว่าเขาต้องการแค่ไปยื่นหนังสือถึงโจทก์ ผมตอบทนายว่า ถ้าแค่ยื่นหนังสือถึงผม ทำไมต้องทุบกระจกโรงแรมเข้าไปด้วย มันเป็นเจตนาที่ชัดเจนแล้วเสร็จแล้ว เราก็จริงๆ จะขอศาลเปิดคลิป ให้เห็นเลยครับว่าจตุพรเคยปราศรัยว่าอย่างไร จตุพรปราศรัยว่า ผู้นำอาเซียนอย่าเอาชีวิตมาเสี่ยงร่วมกับนายอภิสิทธิ์นะ นี่แสดงว่าการรับหนังสือเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ที่สำคัญ พอล้มการประชุมอาเซียนเสร็จ มีพี่น้องจำนวนหนึ่งสนับสนุนฝ่ายเขานี่แหละ แต่เขาคงเห็นว่าการกระทำแบบนี้มันใช้ไม่ได้ สอบถามไปครับ บอกเอ๊ะ ตกลงที่ไปล้มประชุมอาเซียน บุกเข้าไปแบบนี้เป็นแนวทางของเสื้อแดงหรือเปล่า ณัฐวุฒิพูดบนเวที อันนี้ต้องชมนะครับว่า อย่างน้อยพูดจริง 1 ครั้งแล้วในชีวิต ณัฐวุฒิบอกว่า เป็นแนวทางของเสื้อแดงครับ แถมยังบอกอีกว่า ให้อริสมันต์ไปทำ ให้เงินไปกี่แสนไม่รู้ผมจำไม่ได้ นี่คือความรุนแรงที่เริ่มเกิดขึ้น ก่อตัวขึ้น แล้วเขาก็ตั้งใจว่าปี 52 หลังจากล้มประชุมอาเซียนสำเร็จ อริสมันต์ถูกจับ ก็มาล้อมศาลอีก ก็ทำให้พวกผมจำเป็นต้องไปประกาศภาวะฉุกเฉิน คราวนี้ก็มีการพูดบนเวทีอีกว่า ให้ไปจัดการนายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทย
นายจตุพรพยายามไปแก้ตัวในศาลหลายครั้ง ตอนแรกบอกว่าพวกที่ไปกระทรวงมหาดไทยแดงเทียม แต่ตอนหลังก็จนต่อหลักฐานแหละครับ เพราะแกนนำเสื้อแดงมีภาพชัดเจน มีคลิปชัดเจนว่า ส่งคน ระดมคนไปที่กระทรวงมหาดไทย ผมกราบเรียนพี่น้องครับ ผมนั่งอยู่ในรถกับคุณสุเทพ ซึ่งช่วยอะไรผมไม่ได้เลยนะครับวันนั้น ผมไม่เคยเห็น ผมไม่เคยเห็นแววตาของคนที่ไม่รู้จักกันนะครับ แต่เกลียดชังกันถึงขั้นที่จะพยายามมาฆ่ากัน แต่ผมเข้าใจ เพราะในที่สุดเรารู้ครับว่า คนที่อยู่บนเวทีแกนนำที่อยู่บนเวทีนั้นเขาจะพูดผ่านเครื่องกระจายเสียงว่า รถของนายกฯ อภิสิทธิ์ชนคนเสื้อแดงตายโดยเจตนา ขอให้ไปจัดการกับมัน ผมเชื่อว่าพี่น้องที่ดูเหตุการณ์หรือข่าวในวันนั้นคงต้องสงสัยเหมือนผมแหละครับว่า คนเรายืนคนละข้างทางการเมืองกัน จะทำกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือ แต่นี่คือการปลุกระดม และเป็นการเริ่มต้นอะไรครับ เริ่มต้นหาทางเอาเรื่องความตายมาใช้ทางการเมือง
แล้วหลังจากมหาดไทย เหตุการณ์ก็บานปลายออกไปที่สามเหลี่ยมดินแดง เพชรบุรี ซอย 5 ซอย 7 แม้กระทั่งในที่สุดก็คือมีพี่น้องชาวนางเลิ้งเสียชีวิตไป 2 ราย ในที่สุด เราคลี่คลายสถานการณ์ได้ ไม่มีผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เลย แต่ว่าเพียงแค่คืนแรกที่เหตุการณ์กำลังสับสนวุ่นวายอยู่นี่ครับ ผมจำได้ว่ามีอดีตนายกฯ ที่อยู่ในต่างประเทศ เสนอหน้าออกทางซีเอ็นเอ็น บีบีซี พูดภาษาอังกฤษ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่พอจับความได้ว่า รัฐบาลไทยใช้ความรุนแรงกับประชาชนและทำให้คนตาย ผมจำได้เพราะว่าผมก็ต้องไปไล่ตามออกซีเอ็นเอ็น บีบีซี อัลญะซีเราะห์ ทุกช่อง เพื่อบอกกับชาวโลกว่าความเป็นจริงคืออะไร แล้วจำได้มั้ยครับ เหตุการณ์สงบลง มีแต่ความพยายามสร้างกระแสว่า จริง ๆ มีคนตาย 2 ศพ ลอยตามแม่น้ำ ก็บอกว่ามาจากเหตุการณ์ฯ มีทหารที่ปฏิบัติอยู่ใน ร.1 นายหนึ่งเสียชีวิต ก็พยายามที่จะกล่าวหาว่าโยงมาว่าเสียชีวิตเพราะรัฐบาล
แต่สุดท้ายสภาตั้งกรรมการสอบ หลายองค์กรตรวจสอบก็สรุปตรงกันนะครับว่าไม่มี พอไม่มีทำอะไรครับ พอไม่มีก็ไปทำคลิปเสียงผมขึ้นมา เอาคำพูดผมนี่แหละครับ จากรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ 2 ครั้ง มาตัดต่อกันให้ได้ความหมายว่า ผมนั้นนั่งอยู่ แล้วสั่งการให้เจ้าหน้าที่สร้างสถานการณ์เพื่อเป็นเงื่อนไขในการเข่นฆ่าประชาชน คลิปนี้จนถึงวันนี้ นายอะไรนั่น โกตี๋ นี่ยังมาไล่เปิดอยู่เลยนะครับ ที่มาจากปทุมธานี ซึ่งผมยืนยันครับว่ามันบ่งบอกให้เห็นชัดเจนถึงเจตนาการวางแผนว่าในที่สุดจะต้องให้เหตุการณ์บ้านเมืองไปสู่จุดที่เขาจะกล่าวหาว่ารัฐบาลผมใช้ความรุนแรง
คลิปนี้ผ่านไป ปลุกระดมกันเข้ามาจนกระทั่งประมาณต้นปี 2553 เขาก็ได้สรุปบทเรียนที่สำคัญว่า เมื่อคนไม่ตาย และพยายามจะพูดว่าคนตาย ทำไม่ได้ คราวนี้ต้องเอาคนติดอาวุธเข้ามา นั่นคือคำพูดที่เกิดขึ้นบนเวทีปราศรัยของเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นคุณอริสมันต์ ไม่ว่าจะเป็น เสธ.แดง ได้พูดถึงเรื่องนี้ว่าจะทำให้การชุมนุมในปี 53 นั้นของเขาครบถ้วน ครบเครื่อง สมบูรณ์ นี่คือความจริงที่เป็นเรื่องสำคัญครับ ผมและคุณสุเทพ ถ้าเรามีจิตใจอยากจะทำร้ายประชาชน จะเป็นใครก็ตาม พี่น้องคิดเหรอครับว่าเราจะอดทน อดกลั้น และพยายามทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า
สิ้นปี 52 ผมยอมเสนอกับวิปทุกฝ่าย วุฒิฯ ฝ่ายค้าน บอกเอาอย่างนี้สิ คุณคับข้องใจเรื่องรัฐธรรมนูญ มี 5-6 ประเด็น ทำประชามติเลย ถ้าประชาชนบอกให้แก้ แก้ ประชาชนบอกไม่แก้ ก็ไม่แก้ใน 6 ประเด็นนั้น เสร็จแล้วผมยุบสภาให้เลย ไม่เอา
ต่อมาจำได้มั้ยครับ ชุมนุมกันแล้ว ผมก็เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่พาคุณชำนิ (ศักดิเศรษฐ) คุณกอร์ปศักดิ์ (สภาวสุ) ไปนั่งเจรจากับคุณวีระ กับคุณจตุพร กับหมอเหวง ซึ่งทำให้ ความจริงน่าจะทำให้หมอเหวงภาคภูมิใจ เพราะคำว่า “เหวง” ได้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นหลังจากการเจรจา
เจรจาอยู่ 2 วัน ผมก็เป็นนายกฯ คนแรกที่บอก ผมมีสิทธิจะอยู่ถึงสิ้นปี 2554 แต่ผมพร้อมที่จะคืนอำนาจให้ปลายปี 2553 เมื่อเศรษฐกิจ ทุกสิ่งทุกอย่างลงตัว เข้าที่แล้ว เขาก็ไม่เอา การเจรจาทุกครั้งที่เสนอเรื่องแบบนี้ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องเขา เวลาเขาพูดต่อสาธารณะ แต่ถึงนาทีสุดท้าย นายใหญ่ไม่เคยอนุมัติให้ยอมรับการเจรจา เพราะอะไรครับ เพราะนายใหญ่ไม่ได้ประโยชน์ครับ
การควบคุมแก้ไขสถานการณ์จึงเป็นเรื่องจำเป็น ผม คุณสุเทพ พยายามที่จะใช้มาตรการที่นุ่มนวลที่สุด แล้วก็มีความระมัดระวังอย่างยิ่งว่าต้องปฏิบัติทุกอย่างตามกฎหมาย เราเริ่มจากการใช้กฎหมายความมั่นคง แต่ว่าพี่น้องอาจจะลืมไปแล้วนะครับภาพนี้ ใช้กฎหมายความมั่นคงเอาทหารมาช่วยดูแล ช่วยตำรวจในการควบคุมสถานการณ์ วันดีคืนดี เสื้อแดงประกาศว่า จะไปไล่ทหารออกจากที่พักของเขา ไม่ว่าจะเป็นวัดไหนก็ตาม บุกเข้าไปไล่ทหารให้เก็บของ ถามว่าทหารทำร้ายประชาชนมั้ยครับ ทหารไม่ได้ทำร้ายประชาชนเลย ยอมถอนออกจากที่ตั้งตรงนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า เราพยายามแก้ปัญหาด้วยความนุ่มนวลมาโดยตลอด
เราไปร้องขอศาลครับ บอกศาลวินิจฉัยได้มั้ยว่าตกลงการชุมนุมตรงนี้มันเป็นอย่างไร ศาลก็วินิจฉัยชัดเจนว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 53 นั้นเกินเลยการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ทำให้ประชาชนเดือดร้อน และรัฐบาลไม่ต้องมาขออำนาจศาลมีอำนาจในทางการบริหารเพราะมีหน้าที่นำบ้านเมืองกลับเข้าสู่ความเป็นปกติ
เพราะฉะนั้นข้อเท็จจริงก็คือว่า วันนั้นไม่ใช่เรื่องที่พวกผมพยายามจะยื้อ เพราะว่าอยากจะอยู่ในอำนาจ เราเสนอตัว เรายอมตัดวาระของเราแล้ว แต่ถ้าจะให้ยอมตามเสื้อแดงเลยในขณะนั้น ผมถามว่า พี่น้องยอมมั้ยล่ะครับ และวันนั้นพี่น้อง 7-80% ที่เขาไปทำโพลสำรวจความคิดเห็น เขาก็ไม่ยอม และถ้ามันเป็นเรื่องส่วนตัวผม ผมอาจจะยอมได้ครับ แต่พอมันเป็นเรื่องหลักของบ้านเมือง ถ้าผมยอม ผมก็กำลังจะทำให้หลักของบ้านเมืองเสีย และวันข้างหน้าปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมืองจะเกิดขึ้นไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล แล้วประชาธิปไตยของประเทศไทยไปไม่ได้
ต่อมาเราจึงต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน แล้วก็ในที่สุดพยายามที่จะเริ่มต้นจากการขอคืนพื้นที่เมื่อคืนวันที่ 10 ตรงนี้เขาก็พยายามไปโกหกอยู่ครับบอกว่า การขอคืนพื้นที่ การกระชับพื้นที่นั้น ที่จริงคือการสลายการชุมนุม หาว่าพวกผมเล่นคำ ไม่มีครับ พวกผมไม่เล่นคำ จำนำคือจำนำ ซื้อคือซื้อ ไม่เคยเล่นคำ และพวกผมไม่โกหก ไม่ว่าจะสีอะไรก็ตามครับ ไม่ว่า 10 เมษา ไม่ว่าจะ 14-18 พฤษภา ไม่ว่าจะ 19 พฤษภา ไม่เคยมีกรณีไหนเลย ที่รัฐบาลขณะนั้นเข้าไปสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ซึ่งชุมนุมตั้งเวทีอยู่ที่ราชประสงค์
10 เมษาฯ ขอคืนพื้นที่เพื่อเปิดการจราจรให้คนกรุงเทพฯ กับคนฝั่งธนฯ ใช้สะพานพระราม 8 ใช้สะพานพระปิ่นเกล้าฯ ได้ 14-18 พฤษภาฯ ตั้งด่านเพื่อปิดล้อมกดดันให้การชุมนุมยุติไปเอง แต่การตอบโต้การสูญเสียเกิดขึ้น จะที่บ่อนไก่ จะเป็นที่ราชปรารภ จะเป็นที่ดินแดง หรือที่ใดก็ตาม ไม่ใช่จุดที่มีการสลายการชุมนุม และวันที่ 19 ที่ต้องกระชับวงล้อมเข้ามาที่สวนลุมฯ แห่งนี้เพราะจุดตรงนี้คือจุดที่มีการซ่องสุมอาวุธ และทำให้ประชาชนคนบริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ต้องเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
การเปิดเผยเรื่องคนชุดดำ จึงไม่ใช่เรื่องมาทะเลาะ มาเถียงกันเล็กๆ น้อยๆ รายละเอียดว่าอะไรเกิดขึ้นในบ้านเมือง แต่การที่ต้องพิสูจน์ว่ามีชายชุดดำ เพื่อที่จะบอกครับว่า ถ้าวันนั้นปีนั้น ไม่มีชายชุดดำ ไม่ว่าตำรวจ ไม่ว่าทหาร ไม่ว่าประชาชนคนธรรมดา หรือคนเสื้อแดง จะไม่มีใครเสียชีวิตเลยครับพี่น้องครับ เราถึงต้องหาบทสรุปที่ถูกต้อง ถ้าปี 53 การชุมนุมของพี่น้องเป็นการชุมนุมที่สงบ ปราศจากอาวุธ ถ้าการชุมนุมในปี 53 เป็นการชุมนุมที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ถ้าการชุมนุมปี 53 ถูกสลายโดยรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ รองนายกฯ หรือใคร สั่งให้เข้าไปสลายการชุมนุม เข่นฆ่าประชาชน พี่น้องที่เคารพครับ ถ้าอย่างนั้น ผมและคุณสุเทพสมควรที่จะต้องถูกประหารชีวิต แต่นั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริง และสิ่งที่มันน่าเศร้าที่สุดกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่เราจำเป็นต้องมาพูดความจริงขณะนี้ ก็เพราะทั้งๆ ที่หลังเหตุการณ์ ผมเปิดโอกาสให้ทุกหน่วยงานทำงานอย่างอิสระ ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายเพื่อเอาข้อเท็จจริงออกมาให้สังคมเรียนรู้ รับรู้ ตั้งหลัก เพื่อเดินไปสู่ความสงบสุขในวันข้างหน้า แต่ปรากฏว่าขบวนการโกหกไม่เคยหยุด
เขาถึงยอมไม่ได้ไงครับที่จะให้ใครมาสรุปว่ามีชายชุดดำ เพราะเขารู้ว่าทันทีที่มีข้อสรุปว่าเป็นชายชุดดำ ไอ้ที่โกหกมาตลอดว่าชุมนุมโดยสงบ และรัฐบาลไปเข่นฆ่าประชาชน มันไม่จริงไงครับพี่น้องครับ จึงเกิดอาการดิ้นรน ทุรนทุรายกันไปทั่ว ตั้งแต่พรรคเพื่อไทย ถึงแกนนำเสื้อแดง ถึงดีเอสไอ เท่าไหร่ก็มองไม่เห็นคนชุดดำ แต่ในที่สุด การตรวจสอบจะเป็นรายงานของ คอป. หรือหลักฐานที่วันนี้เราได้นำมาแสดงบนเวที ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้อีกต่อไป
แล้วอธิบดีดีเอสไอที่คุณเคยให้สัมภาษณ์ทำให้เกิดความตื่นเต้นว่า มีความลับจะบอก ว่าสมัยนายกฯ อภิสิทธิ์เคยเอาสำนวนไต่สวนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ไปเสนอแล้ว ผมก็บอกไปตั้งนานแล้ว อธิบดีดีเอสไอต้องเล่าต่อให้หมดว่าผมพูดว่าอย่างไร ผมบอกว่า ถ้าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำ ถ้าเจ้าหน้าที่เป็นผู้กระทำก็ต้องดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม การดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมหมายความว่า คุณต้องไปหาข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่คนไหนทำอะไร แล้วดูต่อไปว่าเขาทำภายใต้สถานการณ์อะไร ถ้ามีใครคนไหนอยู่ดีๆ เอาปืนไปไล่ยิงประชาชนจนคนตาย แน่นอนที่สุดครับ เขาต้องมีความผิด แล้วถ้ามีใครไปสั่งเขา คนสั่งก็ต้องมีความผิด ผมบอกกับอธิบดีดีเอสไอตั้งแต่เดี๋ยวนั้น แล้วก็ยังบอกเดี๋ยวนี้ว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณต้องทำ เวลาคุณเล่า ทำไมคุณไม่บอกกับสื่อมวลชน และประชาชนละครับว่า นายกฯ อภิสิทธิ์สั่งว่า ถ้านายกฯ อภิสิทธิ์ผิด เอาโทษ เอาผิดกับนายกฯ อภิสิทธิ์ได้เลย
แล้วผมจะเล่าให้ฟัง วันนั้นมาสรุปให้ผมฟัง มีกี่กรณี คิดว่าอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ มีกี่กรณีที่สรุปว่าเป็นฝ่ายเสื้อแดง หรือผู้ชุมนุม หรือเสื้อดำที่ทำ ผมยังบอกกับอธิบดีดีเอสไอเลยครับ ผมบอกว่า คุณต้องดูให้ดีนะ ไอ้ที่คุณสรุปแล้วว่าเป็นเสื้อแดง หรือเสื้อดำนั้น คุณต้องให้ความเป็นธรรมกับเขา อย่าไปกลั่นแกล้ง อย่าไปปรักปรำ อย่าไปใส่ร้ายเขาเด็ดขาด เพราะถึงเขาจะอยู่ตรงกันข้ามกับฝ่ายผม เขาเป็นคนไทย ผมเป็นนายกฯ ผมต้องดูแลให้ความธรรมกับคนไทยทุกคน
แล้วพี่น้องเปรียบเทียบดูสิครับ วันนี้ที่คุณสุเทพพูดว่าเขาตั้งธงแล้ว ต้องให้เป็นผู้ต้องหา ตั้งธงแล้วว่าจะยัดเยียดให้ผมกับคุณสุเทพไปอยู่ในคุกให้ได้นั้น จำได้มั้ยครับ วันที่ผมเป็นนายกฯ นอกจากผมไม่เคยกลั่นแกล้งคนเสื้อแดงเลย จะเอาข้อหาไหนไปยัดเยียด ให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และกำชับทุกครั้ง ผมยังทำตามข้อเสนอของ คอป.ว่า กรณีคนเสื้อแดงที่ติดคุก แต่ประกันตัวไม่ได้เพราะไม่มีสตางค์ให้ไปช่วยเหลือเขาออกมา พวกเราด่าผมจะตาย แต่ผมทำเพราะว่าผมทำเพราะความถูกต้อง ความเป็นธรรม ให้กับคนทุกคนทุกกลุ่ม
ฉะนั้นวันนี้ที่เล่าความจริง เพื่อให้เห็นว่าภาพรวมที่มาที่ไปของเหตุการณ์เป็นอย่างไร นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ กับนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน พรรคเพื่อไทย แล้วจะพรรคอะไรต่อไปในอนาคตที่มันเปลี่ยนชื่อไปผมไม่ทราบ มีความแตกต่างกันอย่างไร ในแง่การดูแลให้ความเป็นธรรมกับประชาชนทุกกลุ่มทุกสี
เมื่อตอนเย็นผมอยู่ครับ หลายคนนึกว่าผมไม่อยู่ ตอนที่คุณกรณ์ มาถามว่าใครในที่นี้ด่าผมบ้างตอนนั้น ผมแอบดูอยู่ ด่าผมทุกคน ไม่มีอุทธรณ์ ฎีกา ผมเห็นแล้ว ไม่ได้ฟังรายงานจากกรณ์อย่างเดียว ผมจะบอกนี่ไงล่ะครับว่า ถ้าเราอยากให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า ผู้นำประเทศต้องรักษาหลักการสำคัญ เหนือสิ่งอื่นใด รวมทั้งคนที่เป็นผู้สนับสนุนตนเอง ต้องเอาประเทศ ต้องเอาความถูกต้อง ต้องเอาคนทุกคนเป็นอันดับแรกครับ
แต่วันนี้รัฐบาลกลับทำตรงกันข้าม ยังแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แล้วก็พยายามหลับหูหลับตา ช่วยคนของตัวเองที่ผิด อย่างเช่นกรณีทุจริต คอร์รัปชันที่ต้องกลับมาติดคุก ยังช่วยไม่หยุด ผมเล่าให้ฟังเมื่อวันพฤหัสฯ ผมฟังรองนายกฯ ด็อกเตอร์กฎหมายตอบกระทู้ มาพูดบอกว่า มีคดีของญาติของ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็มีหมายจับ แล้วก็พูดตลอดว่า แน่จริงทำไมไม่มามอบตัว ไม่มาสู้คดี ผมบังเอิญสมาธิไม่ดี งงๆ อยู่ว่าเอ๊ะ มันทำไมถึงพูดกับทักษิณอย่างนั้นวะ
แล้วผมก็สงสัยเหมือนกันว่า ถ้าในคดีของคนของพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกฯ ด็อกเตอร์คนนี้เกิดไปเจอในต่างประเทศนี่ มันจะจับหรือมันจะไปกินเหล้าด้วย แต่ผมไม่ถือสาหรอกครับ เพราะดูอาการแกแล้วความจำแกไม่ค่อยดี เพิ่งไปเจอคนมาแหมบๆ ยังจำไม่ได้ว่าเจอ อ้างว่าเป็นเรื่องเก่าอยู่นั่นแหละ ไม่ได้หรอกครับ บ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้า วันนี้พวกผมพูดชัด หลายเรื่องเราเห็นรัฐบาลทำอยู่นี้ เราว่าแย่
ที่ทำกับข้าวไทยอยู่ในขณะนี้ ถ้าไม่รีบแก้ไข จะให้อภัยไม่ได้เลยครับ ที่ทำกับเศรษฐกิจก็กำลังจะมีความเสียหายต่อไป แล้วลูกหลานพี่น้องจะต้องเป็นหนี้มากที่สุดก็เพราะน้ำมือของรัฐบาลชุดนี้ แต่พวกผมพูดชัด เราจะรักษาระบบ รักษาประชาธิปไตย ต่อสู้ตามวิถีทางของสภา ตามอำนาจหน้าที่ของเรา แต่เราก็ยืนยันสิทธิของภาคประชาชน ภาควิชาการ และพี่น้องทุกคนที่จะตรวจสอบตามกฎหมาย ตามอำนาจที่รัฐธรรมนูญให้สิทธิ เสรีภาพกับพี่น้องไว้เช่นเดียวกันครับ และจะเคียงข้างในการต่อสู้
แต่เราต้องเรียนรู้ เรียนรู้ว่า เดินไปข้างหน้าคนพอใจ ไม่พอใจรัฐบาล นายกฯ หรือใครก็ตาม ว่ากันไปตามระบบการต่อสู้ทางการเมือง และอย่าใช้ความรุนแรง อย่ามีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอยู่เหนือกฎหมาย อย่างนี้ประเทศไทยเดินได้ และทุกคดีที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์ทั้งหลายที่ค้างคาอยู่ขอให้เดินต่อไป ถ้าคิดว่าผม หรือคุณสุเทพ มีพยานหลักฐานชัดเจนว่ามีความผิด ดำเนินคดีไป ผมก็ไปต่อสู้คดี ไม่มีปัญหา คุณสุเทพก็ไม่มีปัญหา เพราะเราจะรักษาระบบเหนือสิ่งอื่นใด
แต่ถ้ากลั่นแกล้ง พวกผมชนะคดีเมื่อไหร่ ก็เตรียมรับข้อหาใหม่คดีใหม่ ไปติดคุกแทนพวกผม แล้วผมเตือนข้าราชการไว้นะครับ เวลาเขาใช้คุณทำอะไรนั้น จะข่มขู่ จะให้รางวัล หรืออะไรก็ตาม วันที่คุณทำผิด และเป็นอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบคุณ คนเหล่านี้จะไม่ช่วยคุณ แล้วคุณก็ไม่ได้มีเงินเยอะแบบเขาที่จะลอยหน้าลอยตาหนีไปประเทศนั้น ประเทศนี้ และมีชีวิตอยู่ได้ ไม่เหมือนกันหรอกครับ คุณจะลำบากไม่ต่างจากที่คนใจดำได้นำเอาประเทศไทยและคนไทยมาสู่ความสูญเสียของชีวิตคนไทยนับไม่ถ้วนในหลายเหตุการณ์ที่ผมลำดับมาทั้งหมด
คดีทุกคดีเดินต่อครับ เมื่อสักครู่ ผมเชื่อว่าพวกเราทุกคนที่นี่รู้สึกสะเทือนใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่มารักษาบ้านเมือง ผมก็เชื่อครับ พี่น้องคนไทยคนอื่นจะเสื้อสีอะไรที่เขาสูญเสีย ครอบครัวเขา ผู้สนับสนุนเขาก็มีความสะเทือนใจเช่นเดียวกัน แต่เราจะเยียวยารักษาบาดแผลนี้ให้ดีที่สุดสำหรับทุกคน คือการให้ความยุติธรรม และความยุติธรรมต้องอยู่บนพื้นฐานของความจริงครับ
แต่ถ้าเราเอาชีวิตคนมาเป็นเครื่องเล่นทางการเมือง อย่างที่คนใจดำอำมหิตทำอยู่ในขณะนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เป็นความรุนแรงหลายเหตุการณ์มันจะเกิดอีกในอนาคต เราต้องหยุดตรงนี้ให้ได้ แล้วสั่งสอนว่าใครเล่นกับชีวิตประชาชน เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม แล้วเข่นฆ่าได้แม้กระทั่งชีวิตของผู้สนับสนุนตนเอง คนนั้นต้องรับกรรม และต้องไม่มีการกระทำอำมหิตแบบนี้อีก
ผมถึงบอกไปดังๆ ว่า ทักษิณ คุณไม่ต้องมาเสนอนิรโทษกรรม ผม หรือเจ้าหน้าที่ หรือคุณสุเทพ นิรโทษกรรมผู้ก่อการร้ายเพียงเพราะคุณต้องการนิรโทษกรรมคดีทุจริตของคุณ แล้วผมบอกว่า ถ้าคุณเดินหน้าทำแล้วคุณคิดว่าคุณกลับบ้านได้ กลับมาเลย
กลับมาเลย แล้วได้ชื่อว่า เป็นคนที่อำมหิตที่สุด เหยียบศพของผู้สนับสนุนคุณกลับมา
เอาเขามาชุมนุม บอกว่าจะยืนอยู่แถวหน้า พอเขาเสียชีวิต ปลุกระดมว่า ให้มาลุยกับฆาตกร แต่พอถึงเวลาอยากกลับบ้านบอกนิรโทษกรรมทุกสิ่งทุกอย่าง คุณกลับมาเลย ถ้าคุณอำมหิตพอ
ไม่ต้องกลัวตายหรอกครับ เพราะผมว่านรกยังกลัวความอำมหิตของคุณ
เพราะฉะนั้นพี่น้องที่เคารพครับ วันนี้เรามาอยู่กันตรงนี้ รับทราบความจริงร่วมกัน เราต้องเอาความจริงตรงนี้ ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ผมเคยพูดว่า หน้าที่ผมหน้าที่หนึ่งคือการหยุดการเมืองที่ล้มเหลว ผมยังทำไม่ได้ ที่ทำไม่ได้เพราะผมยอมรับว่า ผมคาดไม่ถึง ถึงความอำมหิตของคนบางคน
แต่วันนี้เราต้องช่วยกันให้ประเทศเดินได้ อย่าสนับสนุนอะไรนอกระบบ อย่าสนับสนุนความรุนแรง อย่าไปเริ่มต้นและขยายเรื่องความเกลียดชัง ที่เป็นเรื่องประชาชนกับประชาชน ผมเห็นการปลุกระดม ไม่ว่าจะเป็นใช้คำว่า “ควาย” บ้าง “แมลงสาบ” บ้าง เรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง ไม่ละครับ เราคนไทยด้วยกันทุกคน ถึงเวลารึยังล่ะครับ ที่คนไทยจะบอกว่า เราคนไทยด้วยกัน แล้วเอาประเทศไทยกับคนไทยมาก่อน ไม่ต้องไปเป็นทาสของใคร ไม่ต้องไปรับใช้ใคร นอกจากรับใช้ประเทศชาติกับประชาชนเท่านั้น เพราะฉะนั้นพี่น้องครับ เมื่อคุณสุเทพ เมื่อผมไม่หวั่นไหว เมื่อเราทราบว่าเจ้าหน้าที่จำนวนมากที่เขาตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ไม่หวั่นไหว พิสูจน์ความจริงกันต่อไป เพราะผมต้องการให้ความเป็นธรรมกับทุกครอบครัวที่สูญเสีย ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าคุณจะเป็นประชาชน หรือไม่ว่าคุณจะเป็นคนเสื้อแดงครับ
แต่เราจะก้าวพ้นตรงนี้ไปด้วยกัน ไม่ให้ในอนาคตของประเทศไทยมีใครคิดเอาชีวิตประชาชนคนไทยมาเป็นเครื่องเล่นทางการเมืองอีกต่อไป ใช่มั้ยครับพี่น้องครับ ถ้าใช่ เราก็เดินหน้ากันต่อ คัดค้านการปรองดองจอมปลอม คัดค้านการล้างผิดคนโกง มีความเมตตา พยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อประเทศไทยของเรา ผม คุณสุเทพ พรรคประชาธิปัตย์ จะยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกคนที่เดินหน้าตามแนวทางนี้ครับ สวัสดีครับ